ตั้งแต่รุ่งเช้าของวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ทหารกะเหรี่ยง KNU (Karen National Union หรือสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง) กองพล 5 ได้สนธิกำลังกับทหาร KNPP (Karenni National Progressive Party หรือพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี) และกองกำลังกะเหรี่ยงดาวแดง KNPLF (Karenni Nationalities People’s Liberation Front) บุกยึดฐานโหม่โหล่โจซึ่งเป็นฐานทหารพม่าในบริเวณรอยต่อระหว่างรัฐกะเหรี่ยงและรัฐคะเรนนนี ริมแม่น้ำสาละวิน ติดกับหมู่บ้านแพท่าและอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์สามารถยึดพื้นที่ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ได้ทั้งหมดในช่วงสายวันเดียวกัน
ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภายหลังจากรัฐประหารในพม่า ฐานทหารพม่าริมแม่น้ำสาละวินสาละวินได้ถูกทหาร KNU ตีแตกและยึดไว้เกือบหมด เหลือเพียงฐานทหารพม่าบริเวณตรงข้ามกับหมู่บ้านสบเมย อ.สบเมย และโหม่โหล่โจซึ่งเป็นฐานใหญ่มีทหารพม่าไม่ต่ำกว่า 40 คนประจำการอยู่ ทั้งนี้ KNU ได้ยื่นคำขาดให้กองทัพพม่าถอนกำลังออกจากบริเวณริมแม่น้ำสาละวินมาโดยตลอด เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในลุ่มน้ำสาละวินว่าได้รับความเดือดร้อนจากการถูกทหารพม่าปล้นสินค้า เนื่องจากตกอยู่ในสภาพอดอยากเพราะถูกทหารกะเหรี่ยงปิดล้อมฐาน รวมทั้งตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงและอาวุธ ทำให้เกิดการสู้รบกันอย่างรุนแรงมาโดยตลอดซึ่งกองทัพพม่าได้ใช้เครื่องบินรบเป็นหลัก ทำให้มีผู้อพยพหนีภัยการสู้รบหลบภัยอยู่ริมแม่น้ำสาละวินฝั่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2564 และถูกกดดันให้กลับออกไปในเวลาต่อมา
รายงานข่าวแจ้งว่า การบุกโจมตีฐานทหารพม่าในครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์ริมแม่น้ำสาละวินกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากที่กองทัพพม่าพุ่งเป้าไปยังพื้นที่อื่นๆที่มีกองกำลังชาติพันธุ์จับมือกับกองกำลังพิทักษ์ประชาชน(PDF)รุกคืบพื้นที่ โดยล่าสุดได้มีการขอความร่วมมือจากทหารไทยไม่ให้เรือขนส่งสินค้าของไทย รวมทั้งการเดินทางของประชาชนใช้เส้นทางแม่น้ำสาละวิน เนื่องจากหวั่นเกรงในเรื่องความปลอดภัย เพราะกองทัพพม่าได้ใช้เครื่องบินรบลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการทิ้งระเบิดในหลายพื้นที่ที่คาดว่าเป็นชุมชนกะเหรี่ยง ทำให้ขณะนี้บรรยากาศในแม่น้ำสาละวินเงียบเหงา หลังจากที่คึกคักมาแล้วหลายเดือน