เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 สำนักข่าว Tai TV Online รายงานว่ากองกำลังปะหล่อง TNLA ได้ประกาศว่า สามารถยึดเมืองน้ำสั่น ทางเหนือรัฐฉาน พร้อมกับอาวุธอีกจำนวนมาก ขณะที่ปฏิบัติการ 1027 ซึ่งกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่มเข้าโจมตีกองทัพพม่าพร้อมกันในหลายพื้นที่ทั่วประเทศนั้น กำลังทำให้กองทัพพม่าเหลือพื้นที่ควบคุมน้อยลงไปทุกที โดยสำนักข่าว Irrawaddy วิเคราะห์ว่า พลเอกมินอ่องหลาย อาจไม่สามารถเดินทางไปในหลายเมืองใหญ่เหมือนเช่นในอดีต
กองกำลังปะหล่อง TNLA ประกาศว่า สามารถยึดฐานที่มั่นและสถานีตำรวจของทางการพม่าในเมืองน้ำสั่น หลังจากที่ทางกลุ่มได้โจมตีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา จนสามารถยึดได้ในที่สุด โดยพบร่างทหารพม่าเสียชีวิตจำนวน 60 นาย และมีทหารพม่าและตำรวจที่ยังมีชีวิตรอด 36 นาย รวมทั้งครอบครัวของทหารพม่าและตำรวจอีก 29 คน ถูกทหารปะหล่องจับกุมตัวไว้ และอาวุธยุทโธปกรณ์อีกเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถประเมินได้ถูกทหารปะหล่อง TNLA ยึดไว้ได้ที่เมืองน้ำสั่นเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ปฏิบัติการ 1027 เพื่อถอนรากถอนโคนกองทัพพม่านั้น ยังขยายไปพื้นที่อื่นๆของประเทศ และฐานทัพพม่าในหลายพื้นที่ทั่วประเทศยังคงถูกฝ่ายต่อต้านโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า ผู้นำสูงสุดของกองทัพพม่า คือพลเอกมินอ่องหลาย คงไม่สามารถเดินทางได้อย่างเสรีเหมือนปีก่อนๆ เนื่องจากสถานการณ์สู้รบและความพ่ายแพ้ของกองทัพพม่าที่ต้องสูญเสียพื้นที่ควบคุมให้กับฝ่ายต่อต้าน โดยยกตัวอย่าง รัฐชินและรัฐคะเรนนี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายต่อต้านเข้มแข็งและเคลื่อนไหวอยู่นั้น พลเอกมินอ่องหลายไม่กล้าเดินทาง แม้แต่จะไปเยี่ยมให้กำลังใจทหารพม่านับตั้งแต่ยึดอำนาจ เหมือนที่ไปเยี่ยมทหารของตนในเมืองในเมืองล่าเสี้ยว เมืองใหญ่อันดับสองของรัฐฉาน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองที่มีสงครามอย่างเมืองแสนหวีไป 80 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงถูกล้อเลียนบนโซเชียลว่าไม่กล้าเดินทางไปยังเมืองเล่าก์ก่าย ซึ่งเป็นอีกพื้นที่สู้รบกันรุนแรง
ขณะที่รัฐกะเหรี่ยงเองก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับการไปเยือนของพลเอกมินอ่องหลาย เนื่องจากทหารพม่าถูกฝ่ายต่อต้านโจมตีหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะแต่ในพื้นที่ใกล้ชายแดนไทยเท่านั้น แต่ทหารพม่าที่ประจำอยู่ด้านตะวันออกของเขตพะโค รัฐใกล้เคียง รวมไปถึงรัฐมอญไปจนถึงเขตตะนาวศรี ซึ่งเป็นอีกพื้นที่ ซึ่งพบว่าทหารฝ่ายต่อต้านเคลื่อนไหวสู้รบกับกองทัพของพลเอกมินอ่องหลายอย่างหนัก และสื่อพม่ายังประเมินอีกว่า จาก 14 รัฐและเขตภูมิภาคที่พลเอกมินอ่องหลายสามารถเดินทางไปเยือนได้ในอดีต ลดลงมาเหลือเพียง 6 รัฐและเขตและภูมิภาคเท่านั้นที่เขาไปเยือนได้ในเฉพาะในเขตเมืองหลวงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมืองย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์และเนปีดอว์ ยังคงเป็นเมืองที่ปลอดภัยสำหรับผู้นำเผด็จการทหารพม่ารายนี้
ขณะที่ดอว์สิ่นหม่าอ่อง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาล NUG ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Irrawaddy ถึงกรณีมีการวิเคราะห์กันว่าหากกองทัพพม่าล่มสลาย ประเทศพม่าอาจจะแตกย่อยออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยเพราะชนชาติพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันนัก ซึ่งดอว์สิ่นหม่าอ่อง กล่าวว่า แม้มีเหตุให้ต้องกังวล แต่ก็อาจมีสถานการณ์เชิงบวก และควรมองโลกในแง่ดีด้วยความระมัดระวัง ซึ่ง NUG มีวิธีจัดการโดยเรียนรู้จากในอดีต
“ผู้ที่จะมีส่วนร่วมให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ได้ปรากฏขึ้น อย่างผู้นำหน้าใหม่ๆปรากฏขึ้นในรัฐคะเรนนีที่เข้าร่วมในการปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ(The Spring Revolution) การมองการณ์ไกลของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ทำให้เราคิดในแง่บวก” เธอกล่าว
นอกจากนี้ ดอว์สิ่นหม่าอ่อง ยังกล่าวอีกว่า มีความคืบหน้าบางประการเกิดขึ้นในพื้นที่ และไม่ต้องการให้ประชาคมระหว่างประเทศละเลยสิ่งนั้น คือหากได้รับความช่วยเหลือในทางปฏิบัติและแรงกดดันทางการเมืองต่อกองทัพพม่าจากนานาประเทศ การปฏิวัติโค่นกองทัพจะยุติได้โดยเร็ว เช่นเดียวกันจะช่วยยุติความเดือดร้อนของประชาชนด้วย นอกจากนี้ยังได้ประสานความร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธในการกลับมาฟื้นฟูการบริหารจัดการในท้องถิ่น ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ แม้ในภาวะสุญญากาศและเกิดภาวะสงคราม ซึ่งรัฐคะเรนนีเป็นอีกรัฐที่เริ่มทำแล้ว
“เรากำลังเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็มีบทเรียนจากในอดีตที่เราสามารถนำมาใช้เพื่อเอาชนะอุปสรรค เราไม่สามารถสรุปได้ว่า เนื่องจากมีบางอย่างเกิดขึ้นในอดีต สิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคต ในอดีต เราไม่มีความสามัคคี ปล่อยให้ปัญหาเดียวกันมากระทบไม่ได้ เรากำลังเอาชนะสิ่งนี้ และฉันก็มองในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ มุมมองของฉันก็คือ มีโอกาสสำหรับเราท่ามกลางความท้าทายนั้น” ดอว์สิ่นหม่าอ่อง กล่าว