เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บริเวณอาคารศุลกากรแม่สอด สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ระหว่างการลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถึงการจัดตั้งพื้นที่มนุษยธรรมชายแดนไทย-เมียนมา ว่าจะดำเนินการภายใน 1 เดือนเพื่อจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในประเทศพม่าซึ่งจุดนี้สำคัญมากเพราะเป็นจุดแรกโดยได้มีการพูดคุยกับหลายฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาลพม่าเพราะต้องการรู้ว่าเขาคิดอย่างไรซึ่งเขาเห็นด้วยและส่งทีมมาร่วมประชุมด้วย ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆกำลังเจรจา โดยเรื่องนี้ไม่ได้เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทำภายใต้ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งสมาชิกอาเซียนได้ให้ความเห็นชอบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งนี้เกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือชั่วคราว หากทุกฝ่ายมาร่วมกันจุดนี้ได้ก็จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพม่า การหยุดยิงและการเจรจาสันติภาพต่อไป
“เรื่องมนุษยธรรมเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ไม่มีเรื่องการเมือง อาจทำให้หลายๆฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยกันเราเชื่อว่าทุกฝ่ายก็ต้องการความสงบ ทางเดียวที่เราทำได้ในเวลานี้น่าจะหันหน้ามาคุยกันภายใต้นโยบายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม”นายปานปรีย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ประสานงานกับกลุ่มที่ถูกต้องในเมียนม่าหรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า ตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้น เราเริ่มต้นกับรัฐบาลพม่า อย่างไรก็ตามแม้เราเริ่มต้นจากคนอื่น แต่ก็ต้องมาคุยกับรัฐบาลพม่าอยู่ดี ปัญหาภายในพม่าเขาต้องแก้ไขด้วยตัวเขาเอง เราจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน เป้าหมายของเราคือการเข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น ในเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องว่าเลือกพูดกับใครก่อนและสนับสนุนใคร แต่เราเลือกช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ในเมียนมาขณะนี้
“ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น จังหวัดตากมีชายแดนติดเมียนมา 530 กม.เป็นจุดเริ่มต้นถ้าเราสามารถดึงทุกฝ่ายเห็นด้วย คนข้างนอกเห็นด้วยหมดแล้ว หากเห็นด้วยเราก็จะขยายไปยังจุดอื่น”นายปานปรีย์กล่าว
เมื่อถามเรื่องการประสานกับกลุ่มต่างๆ นายปานปรีย์กล่าวว่า “อันนี้ไม่ต้องกังวล การทำงานต้องมีจุดเริ่มต้นและพัฒนาไป ต่อไปเราก็ต้องนำสภากาชาดไทย แต่ที่สงสัยสภากาชาดเมียนมาเป็นกลางหรือไม่ เราก็ให้หน่วยงานกลางของอาเซียนไปสังเกตการณ์ นอกจากนี้ช่วงที่ผมเดินทางไปประชุมอาเซียนได้พบกับประธานกาชาดสากล เขาก็พร้อมเข้ามา เมื่อเราจัดตรงนี้เรียบร้อย เพื่อให้เกิดความมั่นใจทุกฝ่ายว่าไม่มีเรื่องการเมืองแต่ช่วยประชาชนจริงๆ ผมเชื่อว่ากาชาดเมียนมาก็มีเจตนาช่วยประชาชนจริงๆ”
นายปานปรีย์กล่าวว่า ชนกลุ่มน้อยมีหลายกลุ่มและเราเริ่มทยอยไปพูดคุยด้วย โดยตัวแทนลาวจะนำทางในเรื่องนี้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสร้างความเชื่อมั่นอย่างไรว่าความช่วยเหลือประถึงประชาชน นายปานปรีย์กล่าวว่า “เราต้องนำสิ่งของช่วยเหลือไปถึงประชาชน 2 หมื่นคนก่อน และดูว่าแจกจ่ายทั่วถึงหรือไม่ หากมีปัญหาก็ต้องแก้ แต่วันนี้จะให้ทั่วถึงเลยคงเป็นไปไม่ได้เพราะสถานการณ์ในเมียนมาวุ่นวายมากและไม่มีใครยอมใคร เราจึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน การที่ผมได้ร่วมประชุมอาเซียน-อียู โดยอียูพร้อมให้การสนับสนุน 20 ล้านยูโร”
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา เปิดเผยว่าการประสานงานเพื่อส่งต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ ทางหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยได้ประสานไปยังกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู กองพล 7 อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีความซับซ้อนของพื้นที่เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่าแทบไม่เหลืออิทธิพลอยู่ในชายแดนด้านเมืองเมียวดี ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยเจรจาและตกลงกับรัฐบาลทหารพม่า พร้อมทั้งส่งผ่านความช่วยเหลือระหว่างกาชาดไทยกับกาชาดพม่า จึงทำให้หลายกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ต่างรู้สึกไม่แน่ใจ
“พื้นที่ริมแม่น้ำเมยฝั่งเมียวดีมีกองกำลังชาติพันธุ์ 6-7 กลุ่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จู่ๆจะส่งต่อความช่วยเหลือเข้าไปด้านใน เราไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วรัฐบาลทหารพม่าจะยอมจริงหรือไม่ เพราะครั้งนี้เท่ากับการเปิดทางให้อเมริกาและประเทศตะวันตกเจาะพื้นที่เข้าไป ไม่รู้ว่าจีนจะคิดอย่างไร ที่สำคัญพื้นที่ย่านนี้เป็นขุมประโยชน์ของกลุ่มต่างๆที่พวกจีนเทามาลงทุน หากมีการเปิดพื้นที่อาจส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ของพวกเขา”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขประชาชนที่เดือดร้อน 2 หมื่นคน ที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือนั้น เอาเข้าจริงๆยังไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหนซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่ตำรวจพม่าประกาศว่าจะส่งตัวคนไทยกว่า 90 คนให้ตำรวจไทย แต่ท้ายสุดกลับมีแต่รายชื่อ แต่ไม่มีตัวคน กลายเป็นเรื่องหน้าแตกของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน หากรัฐบาลไทยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดี อาจถูกหลอกเช่นเดียวกัน และทำให้การนำร่องเรื่องความช่วยเหลือมนุษยธรรมล้มเหลวได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือควรเข้าใจพื้นที่ก่อน