เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการลงพื้นที่ตลาดริมเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตากว่า มีความเป็นห่วงถึงปัญหาอาชญากรรม ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การใช้ระบบเทคโนโลยี หรือ Call Center ในพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ให้กับประชาชนไทย และส่งผลกระทบไปยังชาวโลกในหลายประเทศ ก็พยายามจะเข้ามาดูถึงปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร และรัฐบาลไทยมีความเป็นกังวลในประเด็นนี้มาก ขณะที่ไทยมีความเข้มงวดในการค้ามนุษย์ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมากและไม่ประสงค์ที่จะให้เกิดขึ้นแต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะฝั่งเมียนมา อาจจะยังควบคุมไม่ได้เต็มที่แต่ก็มีความคาดหวังว่าการค้ามนุษย์จะหมดไป ตนจึงอยากฝากไปยังประชาชนชาวตากให้ช่วยกันขับเคลื่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญเรื่องสแกนเซนต์เตอร์ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประเทศไทยจะทำได้เพียงประเทศเดียว เวลานี้เราพยายามทำอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดและฝ่ายทหารทุกคนทราบถึงปัญหานี้และพยายามอย่างเต็มที่ที่กำจัดให้พ้นจากแผ่นดินไทยซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว เพราะเทคโนโลยีข้ามประเทศแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข และเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งการมารับฟังปัญหาครั้งนี้ตนเห็นว่า เป็นภัยคุกคามประเภทใหม่ไม่สามารถละเลยได้ จนทำให้ปัญหาคาสิโนกลายเป็นเรื่องเล็ก แต่มีปัญหาการพนันออนไลน์และการค้ามนุษย์เกิดขึ้น รวมไปถึงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องหยุดให้ได้ แต่ไทยเพียงประเทศเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศหลายประเทศ
“ผลกระทบจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต่อไปจะมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุย และหารือกับประเทศที่เกี่ยวข้องไม่ใช่เพียงคนไทยที่ถูกหลอก เข้าไปทำงานยังคาสิโนประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังมีชาวต่างชาติด้วย”นายปานปรีย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวว่าทางการพม่าจะส่งคนไทยกว่า 90 คนที่ถูกหลอกทำงานในชเวโก๊กโก่ให้ทางการไทย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เดิมมีคนไทยอยู่จำนวนมากก็จริง แต่รายงานล่าสุดมีเพียง 80 คน และไม่ใช่คนไทยทั้งหมด เมื่อเช็คแล้วมีคนไทยเพียง 8 คน ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทางอาเซียนและ EU รวมไปถึงสหรัฐ ให้ความสำคัญและต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว
“ปัญหาคือเป็นคนจากประเทศอื่นเดินทางมาไกล ไม่น่าเชื่อว่าเดินทางมาได้ แต่ได้สอบถามทางผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ยืนบันว่า ไม่ได้ใช้ไทยเป็นทางผ่าน แต่เดินทางตรงไปยังเมียนมาและสร้างปัญหาให้กับเมียนมาเช่นกัน ขณะนี้ไทยกำลังดูแลปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจัง นโยบายของรัฐบาลคือแก้ไขปัญหา เรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจริมแม่น้ำเมยบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองใหม่ KK Parkและชเวโก๊กโก่ ซึ่งได้รับการร้องเรียนว่าเป็นแหล่งอาญชากรรมโดยเฉพาะการค้ามนุษย์ ซึ่งพบว่าทั้งสองแห่งได้มีการก่อสร้างอาคารขยายกิจการเพิ่มขึ้นทั้งๆที่เดิมมีอาคารอยู่แล้วมากมาย โดยเฉพาะที่ KK Park ได้มีการปลูกสร้างอาคารอีกมากมายประชิดลำน้ำเมยกลายเป็นอาณาจักรใหญ่โตมาก
แหล่งข่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์ เปิดเผยว่าขณะมีชาวโกก้างจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ใน KK Park เนื่องจากอพยพหนีการกวาดล้างมาจากเมืองเล่าก์ก่าย ทั้งนี้มีคนจีนและชาวต่างชาตินับหมื่นคนอยู่ในKK Park และมีทหาร BGF คอยให้การคุ้มครองอยู่รอบนอก โดยอาชีพส่วนใหญ่คือการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีชาวจีนและชาวต่างชาติจำนวนมากถูกหลอกมาทำงาน และถูกกักขัง รวมทั้งการทรมานเมื่อทำงานไม่เป็นไปตามเป้า รูปแบบเดียวกับที่เมืองเล่าก์ก่าย
“ตอนนี้มีชาวเคนยากว่า 1 พันคนถูกหลอกอยู่ในนั้น วันก่อนมีการช่วยเหลือมาได้กว่า 10 คน พวกเขาเล่าว่าสมัครงานทางออนไลน์มาทำงานเป็นล่ามในประเทศไทยโดยบอกว่าจะได้เงินเดือน 3-4 หมื่นบาท แต่สุดท้ายเมื่อมาถึงประเทศไทยก็ถูกพาตัวส่งไปยังฝั่งพม่า ต้องเสียค่านายหน้าหัวละ 1.6 แสนบาท ให้ไปทำงานต้มตุ๋นออนไลน์โดยหลากคนเคยยาด้วยกันเอง พวกเขาได้ไลน์ไปแจ้งญาติที่เคยยาจึงได้มีการประสานความช่วยเหลือมายังทางการไทย”แหล่งข่าวกล่าว