เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้ากรณีที่ทางการจีนส่งเครื่องบินมารับกลุ่มคนจีนทั้งที่เป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์และแก็งค์คอลเซ็นเตอร์และมาเฟียจีนที่อยู่ในบัญชีดำของทางการจีน โดยยังคงมีการลำเลียงกลุ่มคนจีนเป็นวันที่ 3 จากฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมาโดยรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 มายังสนามบินนานาชาติแม่สอด โดยปิดม่านบนรถบัสอย่างมิดชิด
ทั้งนี้ในวันที่ 3 ได้มีการส่งกลุ่มคนจีนกลับประเทศด้วยเครื่องบินจำนวน 6 ลำ โดยเครื่องบินเช่าเหมาลำบินตรงมาจากเมือง Nanjing ประเทศจีน นำส่งที่ปลายทางสนามบิน Jinghong ทางตอนใต้ห่างจากสนามบินแม่สอด โดยบรรยากาศในท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ในช่วงกลางวันที่ยังไม่มีไฟล์ทบินจากจีน มีการตรึงกำลังน้อยลงจากวันก่อน อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการทั้งจากทางการไทยและทางการจีนถึงรายละเอียดในการปฏิบัติดังกล่าวแต่อย่างใด โดยปฎิบัติการทั้งหมดยังคงปกปิดอย่างมิดชิด
สำหรับเที่ยวบินสุดท้ายที่ขนคนจีนกลับในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. โดยก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาตรวจดูปฎิบัติการครั้งนี้ในช่วงบ่าย ซึ่งจากปฎิบัติการ 3 วัน ทางการจีนได้ขนคนกลับประเทศทั้งสิ้น 886 คน โดยใช้เครื่องบินเหมาลำรวม 15 เที่ยวบิน โดยแต่ละเที่ยวบินบรรจุผู้โดยสารได้ราว 62 คน
นายอดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติ กล่าวว่า การแอบส่งกลับกลุ่มคนจีนที่อยู่ตรงข้ามฝั่งอำเภอแม่สอดครั้งนี้ เป็นความไม่โปร่งใสของรัฐบาลค่อนข้างมากและพยายามหลีกเลี่ยงการแก้ไขปัญหา เพราะยังมีการหลอกลวงคนไทยและชาวต่างชาติไปทำงานสแกมเมอร์ และการค้าบริการทางเพศในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการปิดบังอะไรบางอย่างเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ดำเนินคดีกับคนกลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้อย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา
นายอดิศร กล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาหรือการดำเนินการตามกฏหมายกับคนเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าคนส่วนหนึ่งใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงินและการพักพิงของคนกลุ่มนี้มาพักใหญ่แล้ว แต่ถึงแม้จะเห็นความร่วมมือระดับหนึ่งของประเทศไทยและจีน ก็ยังมีความไม่ชัดเจนในแง่ของกระบวนการในการปฏิบัติการ จึงเกิดคำถามใหญ่ๆ ว่าการพยายามกีดกันสื่อมวลชน ภาคประชาสังคม และผู้คนออกจากกระบวนการเพราะมีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่
นายอดิศร กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯพบว่ากลุ่มคนที่รับผลกระทบส่วนใหญ่คือคนไทยที่ถูกหลอกลวงไปทำงานในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสังเกตว่ากระบวนการแก้ปัญหามักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวว่าจะแก้ไขปัญหาเหยื่อของขบวนการจีนเทาหรือขบวนการค้ามนุษย์นั้นจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไทยควรต้องทำในครั้งนี้ คือการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง และเปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์ในกระบวนการ
“ความจริงแล้วผมคิดว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในฝั่งโน้น และคนต่างชาติอื่นที่ถูกหลอก แต่กลับพบว่าเราไม่มีท่าทีใดๆ กับการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้เข้ามา และไม่มีข้อมูลใดออกจากรัฐไทย เกี่ยวกับการไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอกไป” นายอดิศร กล่าว
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ (กมธ.ความมั่นคง) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าได้ติดตามและความสนใจการขนคนจีนกลับเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นตามชายแดนไทยมีอยู่มากมาย ตนได้เคยอภิปรายในสภาเกี่ยวกับชาวเมียนมาและนักการเมืองชาวไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดและบ่อนการพนันมาแล้ว ซึ่งบ่อนการพนันถูกกฎหมายในฝั่งเมียนมา เป็นแหล่งของการกระทำผิดกฎหมายอื่นอีกจำนวนมาก ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ สแกมมิ่ง และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น
นายรังสิมันต์ เผยว่า เท่าที่ได้คุยกับฝ่ายความมั่นคงก็ทราบว่าฝ่ายความมั่นคงของไทยรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง และมีข้อมูลพิกัดต่างๆอย่างชัดเจน รวมถึงทางการไทยรู้เรื่องนี้มาโดยตลอดว่ามีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นใกล้ชายแดนไทย โดยเฉพาะในฝั่งอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อาจเพราะส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ประเทศเมียนมา แต่อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าอาจมีคนของทางการไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจแบบนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เราไม่มีความตั้งใจในการแก้ปัญหาสิ่งผิดกฎหมายเลย
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องลักษณะนี้มีสัญญาณเตือนมาโดยตลอด ตั้งแต่กรณีที่เมืองเล่าก์ก่าย ที่เป็นเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องจริง ทั้งเกี่ยวข้องโดยเต็มใจและไม่เต็มใจ และเป็นที่น่าเสียดายว่าแม้เราจะเห็นคนจำนวนมากในประเทศไทยถูกหลอก แต่เรายังไม่เห็นการขยับอย่างจริงจัง กลายเป็นรัฐบาลจีนขยับก่อน เพราะคนจีนเองก็ตกเป็นเหยื่อในการถูกหลอกลวงด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมาเปรียบเทียบแล้วก็ดูเหมือนว่าคนไทยทำไมได้รับความใส่ใจจากรัฐบาลของตัวเองน้อยขนาดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง
“ผมเชื่อมั่นว่าฝ่ายความมั่นคงของเรารู้ข้อมูล ผมคุยกับเขามาหลายครั้งผ่านเวทีกรรมาธิการ เขารู้ถึงว่าจุดไหนอยู่จุดไหน แต่ที่ผ่านมาอาจจะขาดเรื่องการสั่งการของฝ่ายการเมืองที่จะให้มีการปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจัง“ นายรังสิมันต์ กล่าว

(บทบัญญัติล่าสุด) ตามมาตรา 7(2)
พิธีเนรเทศ/รับมอบบุคคลสัญชาติจีน 368 คน”
นายรังสิมันต์ ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคนถูกหลอกหรืออาชญากรรมเฉพาะจุด แต่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยโดยรวม เพราะเหยื่อที่ถูกหลอกมีไปถึงคนยุโรปหรือคนในทวีปแอฟริกา โดยขบวนการเหล่านี้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง เชื่อว่ายังมีขบวนการเหล่านี้ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆอีก เพียงแต่ที่ผ่านมาฐานใหญ่อยู่ในประเทศเมียนมา แต่หลังจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือกลุ่มที่ถูกทลายไปแล้วก็จะต้องไปหาฐานที่อื่นต่อ ซึ่งประเทศไทยควรเตรียมมาตรการในการรับมือเรื่องพวกนี้
“ข้อเสนอถึงรัฐบาล คือให้มีการยกเครื่องวิธีการป้องกันการฟอกเงิน ทำให้การฟอกเงินเกิดขึ้นไม่ได้ เกิดการปราบปรามอย่างจริงจังจะทำให้การก่ออาชญากรรมเกิดขึ้นได้ยาก รวมถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของด่านชายแดนทั่วประเทศว่าสามารถสกัดสิ่งผิดกฎหมายได้มากน้อยแค่ไหน บุคลากรในกรมศุลกากรมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่”นายรังสิมันต์ กล่าวและว่า ขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาในประเทศเมียนมาอย่างมากที่สุด เพราะมีสงครามกลางเมือง และฝ่ายต่างๆต้องการเงินไปซื้ออาวุธเพื่อเอามารบ เพราะฉะนั้นสิ่งไหนที่ทำแล้วได้เงินมาเร็วและเยอะก็จะเกิดขึ้น ประเทศไทยจะเป็นคู่ค้าสำคัญในการส่งออกสินค้าต่างๆเพื่อให้ได้เงินที่มากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องจัดการอย่างจริงจัง
“สันติภาพในเมียนมา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย และรัฐบาลต้องมีจุดยืนในเรื่องนี้เพื่อทำให้สถานการณ์ในเมียนมากลับมาดีกว่านี้ และนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาสิ่งผิดกฎหมายต่างๆบริเวณชายแดนไทย” นายรังสิมันต์ กล่าว