Search

คนไทยพลัดถิ่นกว่า 400 กำลังลำบากหลังหมู่บ้านถูกเครื่องบินรบพม่าทิ้งระเบิด เผยอพยพหนีตายแต่สุดขาดแคลน วอนขบวนระเบียงมนุษยธรรมแวะ-ชุมชนเป็นเส้นทางผ่าน “นพดล”แนะขยายพื้นที่ความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2567 ชาวบ้าน “ไทยพลัดถิ่น” รายหนึ่งจากบ้านห้วยส้าน เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งได้รับผลกระทบการสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยงของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNU) ซึ่งจับมือกับกองกำลัง PDF และ BGF ที่บุกยึดฐานปฏิบัติการทหารของทหารพม่า ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ชาวบ้านห้วยส้านราว 450 คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นกำลังเดือดร้อนและขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้ หลังจากที่กองทัพพม่าได้ทิ้งระเบิดในหมู่บ้านห้วยส้านทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 2-3 ราย และบ้านเรือนเสียหายกว่า 20 หลัง ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ที่วัดแม่แปบซึ่งอยู่ห่างจากบ้านห้วยส้านราว 4 กิโลเมตร 

“ตอนนี้คนแก่และคนป่วยเราพาข้ามมาอยู่กับญาติพี่น้องที่แม่สอด แต่เด็กอีก 70 คนและชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยังอยู่ที่นั่นเพราะไม่สามารถข้ามมาได้ ที่ผ่านมาญาติพี่น้องที่อยู่ฝั่งแม่สอดต่างเรี่ยไรส่งต่อความช่วยเหลือคนละเล็กละน้อยไปให้ แต่ก็ไม่เพียงพอ และดูท่าแล้วการรบครั้งนี้คงอีกยาว ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราไม่รู้ว่าที่บ้านห้วยแปบจะปลอดภัยถึงเมื่อไร เพราะมีเครื่องบินรบของทหารพม่าบินผ่านทุกวัน เพียงแต่เขาไม่ได้ทิ้งระเบิดมาที่จุดนี้ เมื่อวานก็มากัน 3 ลำ เขาไปทิ้งระเบิดจุดอื่น” ชาวบ้านไทยพลัดถิ่น กล่าว

ชาวบ้านเล่าว่า บ้านห้วยส้านเป็นหมู่บ้านเก่าแก่กว่า 200 ปี เดิมทีเคยเป็นดินแดนของประเทศไทย แต่ในสมัยที่อังกฤษปกครองพม่าและได้มีการแบ่งเขตแดนกับไทยโดยได้เปลี่ยนแนวเส้นเขตแดนจากที่ใช้เทือกเขาเป็นจุดแบ่งแดนมาเป็นใช้แม่น้ำเมย ทำให้บ้านห้วยส้านกลายเป็นดินแดนของประเทศพม่า แต่ชาวบ้านซึ่งยังไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่แม่สอดก็ยังไม่ได้ย้ายกลับมาเพราะมีบ้านและไร่นาอยู่ที่นั่น ที่สำคัญคือเมื่อย้ายกลับมาก็ไม่ใช่ว่าจะได้บัตรประชาชนไทยเพราะกระบวนการขอสัญชาติมีความยุ่งยากและต้องเสียเงิน

“พวกเราส่วนใหญ่ก็อยากกลับมาอยู่แผ่นดินแม่ เพราะตอนนี้อยู่บ้านห้วยส้านก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร พวกเขาสู้รบกันทุกวัน และเชื่อว่าสถานการณ์คงยืดเยื้อไปอีกนาน เราอยากให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือพวกเราด้วย เพราะรถลำเลียงที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านกะเหรี่ยงใน 3 หมู่บ้านก็วิ่งผ่านบ้านห้วยส้าน ดังนั้นก็น่าจะส่งความช่วยเหลือให้พวกเราบ้าง”ชาวบ้านรายนี้ กล่าว

ในวันเดียวกัน กองทัพบกๆได้พาคณะสื่อมวลชนจากส่วนกลางจาก กทม.ขึ้นเครื่องบินมายัง อ.แม่สอด เพื่อร่วมทำข่าวการปล่อยขบวนรถช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ณ จุดผ่านแดนถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 ในวันที่ 25 โดยได้มีการรับฟังบรรยายสรุปจาก ฉก.ราชมนู กองกำลังนเรศวรเกี่ยวกับภารกิจการดูแลแนวชายแดน และการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการสนับสนุนกระทรวงการต่างประเทศและกาชาดไทยในภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมา

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการจัดความช่วยเหลือที่รัฐบาลไทยจะส่งไปยังชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจากการสู้รบในพม่าครั้งนี้ จะส่งไปยังบ้านนะบู ไป่จงและตามัญญะ (ดูจากแผนที่)

ด้านนายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่แน่ใจว่าการส่งความช่วยเหลือครั้งนี้จะครอบคลุมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแค่ไหน เพราะช่วยเหลือเพียง 3 หมู่บ้านประมาณกว่า 1 หมื่นคน และยังต้องขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆอีกด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือการดึงอาเซียนเข้ามาในตอนนี้เลยหรือไม่ อย่างไรก็ตามครั้งนี้อาจเป็นการเริ่มต้น แต่รัฐบาลต้องเร่งรีบให้ความช่วยเหลือเพราะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในพม่าจำนวนมากและรุนแรง โดยการช่วยเหลือครั้งนี้สอดคล้องกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน 

“ต้องทำให้มีพลังเพียงพอที่จะบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด และต้องทำให้เห็นว่าถึงเวลาที่SAC(สภาบริหารแห่งรัฐพม่า) และอาเซียนต้องร่วมกันแก้ปัญหา ที่สำคัญคือถ้าประเทศไทยต้องการกอบกู้เกียรติภูมิของไทยก็ต้องรีบทำตรงนี้”นายนพพล กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลไทยควรจัดความสัมพันธ์กับ SAC อย่างไร ประธาน กมธ.ต่างประเทศกล่าวว่าSAC ค่อนข้างไว้ใจไทยซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนทางการต่างประเทศที่ดีของไทย แต่เราต้องทำนโยบายที่ดีต่อเพื่อนบ้านให้ชัดเจนโดยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ แต่ก็ต้องพูดกับเพื่อนตรงๆด้วยว่า หากยังต่อสู้กันแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับประชาชน โดยรัฐบาลไทยก็ต้องหาวิธีคุยกับทุกภาคส่วน รวมทั้งประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น จีน อินเดีย

———–

ขอบคุณภาพจากชาวบ้านไทยพลัดถิ่นบ้านห้วยส้าน