เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 แหล่งข่าวจากกองกำลังทหารกะเหรี่ยงเปิดเผยว่า ขณะนี้กองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army-KNLA ) แห่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) กองพล 5 และกองทัพประชาชน (People’s Defense Force-PDF) ซึ่งร่วมกันต่อต้าน SAC (สภาบริหารแห่งรัฐพม่า) ได้เปิดปฏิบัติการบุกยึดฐานทหารพม่า “ซูแมท่า” ณ จุดบรรจบแม่น้ำเมย-สาละวิน ตรงข้ามบ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยขณะนี้ทหารพม่าจากฐานซูแมท่า และ 2 ฐานใกล้เคียง รวมประมาณ 100 นาย ได้หนีทัพเดินเท้าออกไปตามลำน้ำสาละวิน คาดว่าไปรวมอยู่ที่กอกอท่า แม่แลท่า ก่อนถึงแม่ปะ เหนือจากฮัตจีเล็กน้อย
“ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทหารกะเหรี่ยงได้ซุ่มยิงโดยสไนเปอร์ และโดรนโจมตี กดดันจนทหารพม่ายอมหนีฐานออกไปเมื่อวานนี้ (11 เมษายน ) ไปรวมอยู่กันที่กอกอท่า แต่คาดว่าคงอยู่ตรงนั้นไม่นานก็ต้องย้าย เวลานี้ริมแม่น้ำสาละวินตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า ไม่มีฐานทหารพม่าเหลืออีกแล้ว กองกำลังของกะเหรี่ยงยึดคืนได้แล้วทั้งหมด” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่รอบๆ เมืองผาปูน ที่ยึดได้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ยังคงรุนแรง เนื่องจาก เครื่องบินรบของ SAC ยังมาทิ้งระเบิดเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ เมืองพะปุน มีเครื่องบินลำเลียงบินมาส่งเสบียงและอุปกรณ์สื่อสารให้แก่ฐานบัญชาการพม่าแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในเขตเมืองพะปุน
“ในเมืองผาปูน ตอนนี้ไม่มีระบบราชการใดๆ แล้ว ประชาชนต่างต้องหนีการโจมตีของพม่าไปอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่น (IDP camps) ที่ KNU จัดไว้ให้ในป่า รอบๆ เมือง ห่างไปประมาณ 5-10 กม. เป็นความขาดแคลนอย่างสาหัส ชาวบ้านผู้พลัดถิ่นขณะนี้เรียกได้ว่าขาดแคลนทุกอย่าง ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในอุทยานสันติภาพสาละวิน (Salween Peace Park )ขณะนี้มีผู้พลัดถิ่นจำนวนนับหมื่นคนกระจัดกระจายอยู่”แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา หลังจาก KNLA เข้าไปปฏิบัติการยึดฐาน 434 กองทัพพม่าได้ทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน ทำให้ทหารกะเหรี่ยงบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะนี้โรงพยาบาลสนามมีคนเจ็บจากสงครามกว่า 30 ราย
“หากพม่าไม่ใช้เครื่องบินมาช่วยก็คงยึดได้ทั้งหมดแล้ว ตอนเช้ามืดตีสองตีสาม กำลังก่อไฟเตรียมอาหารพม่าก็ส่งเครื่องบินมา”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้เรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าในแม่น้ำสาละวินต่างประดับธงชาติกะเหรี่ยงและธงชาติไทยคู่กัน ซึ่งในอดีตทางการพม่าเคยบังคับให้ติดธงชาติพม่าคู่กับธงชาติไทย
สำนักข่าวพม่า Khit Thit Media รายงานถึงความคืบหน้ากรณีที่พลอ.โซวิน รองผู้บัญชาการของกองทัพพม่าถูกฝ่ายต่อต้านโจมตีระว่างประชุมที่เมืองมะละแหม่ง รัฐมอญ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้รองผบ.สส. ได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนจากอินเดีย สำหรับอาการบาดเจ็บภายหลังจากการโจมตีด้วยโดรน แต่อาการบาดเจ็บของเขาไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ศ.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand
ว่า ต้องยอมรับว่าวันนี้เมืองเมียวดีอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังต่อต้าน SAC(สภาบริหารแห่งรัฐพม่า) และเริ่มเห็นอาการแพ้ต่อเนื่องหรือที่เรียกว่าเมียนมาโดมิโนซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด แต่โดยพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงที่ยาวมาถึงด้านล่าง ซึ่งอยู่ติดกับกองกำลังมอญ ตอนนี้กองกำลังฝ่ายต่อต้านกำลังฮึกเหิม หากกองกำลังมอญเปิดเกมรุกและควบคุมพื้นที่ได้แปลว่าแนวชายแดนของไทยที่ติดกับพม่ากลายเป็นเมียนมาอีกชุดหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ SAC แต่เป็นการควบคุมโดยกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเร่งกำหนดยุทธศาสตร์ เพราะความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มากและไม่รู้ว่าสงครามจะสิ้นสุดเมื่อไร หลังสงกรานต์ต้องมีการเปิดเกมรุกใหญ่ และกองทัพพม่าก็ต้องตอบโต้ใหญ่
“วันนี้ยังดีที่เรายังไม่เห็นการทิ้งระเบิดถล่มเมืองเมียวดี หากมีการโจมตีเมียวดี เครื่องบินรบพม่าอาจต้องเข้ามาตีโค้งในฝั่งไทยเหมือนกับเมื่อ 2 ปีก่อน แต่เชื่อว่าครั้งนี้กองทัพอากาศไม่เหมือนครั้งนั้น เพราะครั้งนี้มีการส่งเอฟ 16 บินลาดตระเวนเป็นช่วงๆ ทำให้ชาวบ้านแม่สอดรู้สึกอุ่นใจ แต่โจทย์สำคัญยังเป็นโจทย์เดิมคือหากเกิดส่งครามใหญ่ ผู้ลี้ภัยจำนวนมากจะทะลักเข้ามา” ศ.สุรชาติ กล่าว
ศ.สุรชาติกล่าวว่า ในประเทศพม่าขณะนี้ได้เกิดยุทธการชนบทล้อมเมืองคือล้อมกรุงเนปิดอว์ไปเรื่อยๆซึ่งเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลทหารพม่า และหากมีการเจรจาเชื่อว่ากลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ไม่ต้องการคุยกับ พล.อ.มิน อ่อง หลาย ดังนั้นเมื่อวานนี้จึงเกิดข่าวลือมีรัฐประหารในเมียนมาและมีการจับกุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งคล้ายกับประเทศไทยบางช่วงเวลา ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมการใหญ่คือรับสถานการณ์อนาคตอย่างไร
“วันนี้รัฐบาลไทยควรคิดเรื่องการตั้งผู้แทนพิเศษเรื่องพม่า และไม่ควรอยู่ในระบบราชการเพราะต้องคิดอีกแบบ และยังมีปัญหาเรื่องจีนเทาด้วย ถ้ากลุ่มนี้แตกจะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองอีกแบบ ดังนั้นการคิดยุทธศาสตร์ต้องเป็นภาพใหญ่ เราต้องประกาศจุดยืนและทิศทางยุทธศาสตร์ เพื่อให้เวทีระหว่างประเทศเข้าใจเราเหมือนกัน ”ศ.สุรชาติ กล่าว
—————
