เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2567 ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอรามศรี ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้ทำวิจัยเรื่องทุนนิยมคาสิโน และกำลังวิจัยเรื่อง “เขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามชาติจีนในอาเซียน: ทุนเปลี่ยนรูป, ปฏิบัติการของโครงสร้างพื้นฐานและขุมข่ายเศรษฐกิจหลากขนาด” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทุนจีนเทาที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในแหล่งอาชญากรรมชเวก๊กโก่ เคเคปาร์คและพื้นที่ต่างๆ ริมแม่น้ำเมยฝั่งเมืองเมียวดีซึ่งตรงข้ามกับ อ.แม่สอด จ.ตาก และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army-KNLA) ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen Naitonal Union-KNU)ซึ่งจับมือกับกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defence Force: PDF) ว่าสิ่งที่ทางการไทยควรทำกรณีชเวก๊กโก่ กับ KKPark การตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่น่าพอ และพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล แต่ต้องยกระดับตัด supply ทั้งหมดที่เข้าไปหล่อเลี้ยงเมืองทั้งสอง
“ทั้งสองเมือง ไม่มีทางอยู่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องอุปโภค บริโภค ส่งไปจากไทย โดยเฉพาะท่าข้ามธรรมชาติ 5-6 ท่า ที่ใช้ขนคน ขนน้ำดื่ม ของจากห้างใหญ่สองห้างในเมืองแม่สอด วัสดุก่อสร้างจากร้านใหญ่ในแม่สอด ตลอดจนเครื่องปั่นไฟที่ส่งไปขายแทนที่ไฟฟ้า เรื่องนี้ รัฐต้องมีมาตรการเด็ดขาด ตัดทางลำเลียงทุกอย่างที่หล่อเลี้ยงเมืองอาชญากรรมนี้ และต้องให้สภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้ามีบทบาทจัดการเรื่องนี้” ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ข้อเสนอนอกเหนือจากการช่วยผู้ประสบภัยจากสงครามแล้ว รัฐไทย ควรใช้โอกาสนี้ ในการแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อเมืองอาชญากรรมทั้งสองแห่ง เรียกร้องให้ไม่ว่าฝ่ายใดที่จะขึ้นมาบริหารเมียวดีก็ตาม ทำการจัดระเบียบเมืองทั้งสองแห่งนี้ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจัง โดยรัฐไทยจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน เมืองแม่สอดที่เป็นเมืองสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเมืองอาชญากรรม จะต้องแสดงท่าทีชัดเจนเช่นกันว่า จะไม่สนับสนุนเมืองอาชญากรรมทั้งสองนี้ กลุ่มธุรกิจที่สนับสนุนเมืองอาชญากรรมนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐในการยุติบทบาทการแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจนี้ลง เจ้าของท่าข้ามธรรมชาติทั้งหลาย ต้องหยุดให้บริการขนส่งสินค้าและคน ที่เอื้ออำนวยให้อาชญากรรมเหล่านี้เติบโต
ดร.ปิ่นแก้ว ให้สัมภาษณ์ในรายการสุทธิชัยไลฟ์ ว่าสถานการณ์การสู้รบน่าจะไม่มีผลมากนักกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3-4 แห่งที่ตรงข้าม อ.แม่สอด ทราบว่ามีบางบริษัทขนคนออกไปกัมพูชา แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับผลกระทบ ทุกคนก็ทราบดีว่า BGF ร่วมทุนกับ Yatai ซึ่งคงไม่ทุบหม้อข้าวตัวเอง ดังนั้นตัวแปรคือ KNU ว่าจะยึดเมืองได้หรือไม่เพราะ KNU เคยประกาศว่าไม่เอาทุนสีเทา พลวัตการเปลี่ยนแปลงใน KNU ที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหาร จากเดิมที่เป็นคาสิโน Entertainment Project จีนเสนอให้พม่าลงนามเป็นเมือง Smart City จ้างบริษัทสิงคโปร์มาวางโครงการ แต่ไปไม่รอด จุดเปลี่ยนคือโควิด ที่กิจการถดถอย เปลี่ยนไปเป็นเมืองคอลเซ็นเตอร์ คนรุ่นใหม่ใน KNU มองเห็นแต่กลุ่มนายพลบางคนมีผลประโยชน์อยู่ KK Park เป็นพื้นที่ในสัญญาสัมปทานที่ลงนามโดยนายพลของ KNU และมีคนไทยมีชื่อในบริษัทด้วย เรามักมองว่าเป็นทุนข้ามชาติจีน แต่มีไทยเข้าไปเกี่ยวด้วยแน่ๆ และ พ.อ.ชิตูก็เปิดบริษัทร่วม ได้ 35% joint venture ปีหนึ่งก็รายได้ 3,500 ล้านบาท
“เรื่องที่ดินส่วนหนึ่งเป็นของนักธุรกิจฝั่งไทยได้ค่าเช่าจากกิจการนี้ Yatai จดทะเบียนที่ฮ่องกง แต่มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพ หากเอาข้อมูลมาเรียง ที่ว่าไทยเป็นทางผ่าน จริงๆ ไม่ใช่ แต่ไทยเป็นตัวละครหนึ่งของอุตสาหกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ตามชายแดน”นักวิชาการผู้นี้กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า เท่าที่เคยสัมภาษณ์นักธุรกิจ คือช่วงจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชเวก๊กโก่ มีกลุ่มไทยไปร่วมไม่น้อย และข้ามกันไป-มาในช่องทางธรรมชาติ คนไทยไม่น้อยเป็นเจ้าของที่ดินฝั่งโน้น นักธุรกิจไทยที่ร่วมงานกับชิตูก็มี เขาก็ทราบถึงปัญหาแต่ไม่ขอเข้าไปยุ่ง แต่รับรายได้ที่เป็นกำไร เหตุผลแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้อง ทั้งนี้การกดดันรัฐบาลไทยเรื่องการตัดเส้นทางต่างๆ แต่ไม่พอ นักธุรกิจที่มีส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแม่สอด ไม่ใช่แค่เจ้าของที่ดิน
“ธุรกิจ เมืองชเวก๊กโก่และ KK Park จะไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีแม่สอด ทั้งอาหาร น้ำดื่ม วัสดุก่อสร้าง facilities ตลอดแนวชายแดนไปถึงแม่ระมาด มีท่าข้ามธรรมชาติกว่า 50 แห่ง ห้างใหญ่ในแม่สอดมี supply ส่งไปแหล่งอาชญากรรม 2 พื้นที่นี้ ประชากรเป็นแสนคน จำเป็นต้องเรียนกร้องให้ทุนไทย สภาหการค้า สภาอุตสาหกรรมร่วมกันหารือถึงทางออก”ดร.ปิ่นแก้ว กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ตลอดแนวน้ำเมย มีเสาสัญญาณโทรศัพท์ถึง 170 กว่าต้น แม้จะตัดไฟฟ้าและตัดสัญญาณโทรศัพท์แต่ก็ยังมีเคเบิลใต้น้ำ และหมู่บ้านต่างๆ ก็ขายสัญญาณให้ฝั่งโน้น ไฟฟ้าตัดก็มีเครื่องปั่นไฟและซื้อจากฝั่งไทย แม่สอดเป็นแหล่งขายเครื่องปั่นไฟรายใหญ่ หากไม่มีแม่สอด 2 เมืองก็อยู่ไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องเข้มงวดกับท่าข้าม
“ธุรกิจที่ค้าขายกับ 2 เมืองนี้ ต้องบีบให้ยุติอาชญากรรม คุณต้องไม่เปิดท่าข้ามให้ส่งน้ำ ส่งอาหาร หรือส่งคน เพราะแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้จะไม่มีทางออก หากไม่มีท่าข้ามเหล่านี้”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
เมื่อถามว่าหากยับยั้งธุรกิจสีเทาจะมีผลต่อสงครามอย่างไรหรือไม่ ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ต้องถามว่า สงครามที่เกิดนี้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะจะเป็นไปในทิศทางไหนและส่งผลต่อไทยอย่างไร เชื่อว่ากองทัพพม่าไม่แตะ 2 แหล่งนี้เพราะได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลพม่า หากย้อนไปยุคที่นางอองซานซูจีเป็นรัฐบาล มีการร้องเรียนเรื่องการค้ามนุษย์และการหลอกคนไปทำงานทารุณกรรม มีการต้องกรรมการสอบส่วนและบีบ BGF เพราะพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร พล.อ.มินอ่องหล่ายมีอำนาจ ทำให้การตรวจสอบหยุดลงชั่วคราว เห็นได้ว่าประชาธิปไตยมีผล ดังนั้นหากอยากให้เดินหน้า รัฐไทยต้องสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในพม่า การตรวจสอบเกิดขึ้นได้เมื่อมีประชาธิปไตย
“รัฐบาลจีนพยายามกดดันรัฐบาลทหารพม่าหลายรอบ นัดประชุมกันหลายครั้ง ดิฉันสัมภาษณ์ตำรวจแม่สอดเรื่องการคณะกรรมการไตรภาคีของตำรวจ ซึ่งตำรวจจีนมีรายชื่อจีนเทา แต่ตำรวจพม่าพูดอยู่คำเดียวว่าต้องปรึกษาทางเนปีดอว์ก่อน กรณีที่เลาก์ก่ายรัฐบาลจีนต่อรองโดยตรงกับกลุ่มโกกั้งในพื้นที่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่มีการส่งกลับคนจีน ทูตจีนมาเอง มาขนคนจีนที่เป็นเหยื่อจาก KK Park ขึ้นเครื่องบินไป แต่ปิดลับ”นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ขอสันนิษฐานว่ารัฐบาลจีนต่อตรงกับ KK Park ทั้งคนคุมพื้นที่และทุนจีน เท่าที่ทราบคือทุนจีนลดแรงกดดันว่าต่อไปนี้จะไม่เอาเหยื่อคนจีน เพื่อที่จะทำให้รัฐบาลจีนลดแรงกดดัน จีนทนไม่ได้ที่เหยื่อในจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้สนใจเหยื่อชาติอื่น ทั้งๆที่นี่เป็นอาชญากรรมระดับโลก กลุ่มแอฟริกาเป็นเหยื่อมากที่สุด ใน KK Park ซี่งมีคนอยู่เป็นแสน แต่ไม่ใช่เหยื่อทั้งหมด คนที่ทำงานในนั้นเล่าว่าเหมือนนิคมย่อยๆ เป็นตึกๆ มีพนักงานที่คนเข้าไปทำงานอย่างเต็มใจ มีบอสเจ้าของ เราเคยสัมภาษณ์คนที่เคยเป็นล่ามทำหน้าที่ช่วยบอสประสานทางการไทย เขาบอกว่ามีพนักงาน IT คนไทยก็ทำ ตอนที่เล่าก์ก่ายแตก คนไทยที่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ให้บริษัทจีนก็ไม่ยอมกลับไทยแต่หนีไปประเทศอื่น เหยื่อน่าจะหลักหมื่น ได้ถามตม.ก็บอกว่าต้องคัดแยกว่าเหยื่อหรือไม่
นักวิชาการผู้นี้กล่าวว่า หากรัฐบาลทหารพม่ายึดคืนพื้นที่เมียวดีได้ สถานการณ์จะเหมือนเดิม แถมยังมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นไปที่ด่านเจดีย์สามองค์และระนอง กลุ่มธุรกิจนี้เป็นผลโดยตรงของการปราบโดยจีน แรกคือที่ชายแดนติดจีน เช่น บ่อเต็น บ่อหาน เมืองลา พอจีนตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็จบ ต่อมาคือย้ายไปฟิลิปปินส์ กัมพูชา สีหนุวิลล์ แต่รัฐบาลจีนก็ยังกดดันจนแตก จนต้องหาพื้นที่ที่มีองค์อธิปัตย์พิเศษ คือไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บริเวณนี้ของเมียวดีจึงเป็นสถานการณ์ที่ perfect คือมีอำนาจทับซ้อนเพราะรัฐบาลทหารพม่ามีอำนาจแต่ในนาม แต่อำนาจจริงคือ BGF ซึ่งรับผลประโยชน์ไปแบ่งกัน โดยที่จีนทุกวันนี้ยังเข้าไม่ถึง เมื่อกดดันรัฐบาลทหารพม่าก็โยนไปที่ชนกลุ่มน้อยซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบคือให้เงินรัฐบาลกลางพร้อมดึงกองกำลังมาร่วมทุน สร้างเครือข่ายผลประโยชน์กับฝั่งไทย
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ไทยควรเป็นฝ่ายช่วยเจรจาหาทางออกที่สูญเสียต่อพลเมืองน้อยที่สุด รัฐบาลไทยต้องตั้งเงื่อนไขว่าชายแดนแม่สอดเมียวดีต้องเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ในอดีตมีแนวคิดเมืองแฝดระหว่างแม่สอดกับเมียวดีโดยสร้างความเจริญเศรษฐกิจสองฝั่ง แต่แนวคิดนี้หายไปเมื่อมีบ่อนคาสิโนและคอลเซ็นเตอร์ สิ่งที่น่าห่วงคือ มีแนวคิดให้ไทยตั้งคาสิโนเสียเอง และที่แม่สอดมีผลักดันหนักมากว่าทำไมไม่ทำของเราเอง
“รัฐบาลไทยและส.ส.ทั้งหลายพร้อมใจกันผลักดัน ดิฉันพยากรณ์ว่าเรากำลังจะตั้งชเวก๊กโก่แห่งที่สอง บ่อนพวกนี้ใครจะลงทุน หากไม่ใช่ทุนจีน ความชำนาญเป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร เขามาในรูปบริษัทสร้างใหม่ ตามรอยไม่ได้เลยว่าเป็นบริษัทเก่าแปลงโฉมมา หรือเป็นนักลงทุนใหม่ คุณจะไปห้ามได้อย่างไรในเมื่อไม่สามารถเช็คประวัติได้ ชเวก๊กโก่บอสใหญ่มีอย่างน้อย 8 คน ทางการไทยทราบหรือไม่ หากเราตั้งบ่อนแล้วเขามาลงทุนตั้งคอลเซ็นเตอร์จะทำอย่างไร เท่าที่ทราบตัวแทนราชการไทยนี่แหละจะไปร่วมกับเขา”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า เคยสัมภาษณ์คนที่ทำงานเป็นบอสที่ KK Park เขาบอกว่ารู้ว่าเป็นอาชีพอาชญากรรม สิ่งที่เขาทำคือรีบเก็บเงินแล้วหอบเงินมาลงทุนในไทย ตั้งบริษัทฟอกเงินที่มันผิดให้มาในระบบ และไทยเป็นที่รองรับกิจการเหล่านี้