ระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2567 คณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฎิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกลเป็นประธานได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน เรื่องการบริหารจัดการผู้หนีภัยจากการสู้รบจากประเทศเมียนมา แรงงานข้ามชาติและการค้าการลงทุนข้ามชายแดน ข้อจํากัดและข้อท้าทายในพื้นที่อําเภอชายแดนจังหวัดตาก
ทั้งนี้ในวันแรกที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ อ.แม่สอด คณะกมธ.ได้จัดประชุมรับฟังข้อมูลและข้อเสนอแนะจากตัวแทน ภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชน นอกจากนี้ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้แทนหน่วยงานภาคประชาสังคม อาทิ สํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน(IOM)
ผู้แทนคณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง (Karen Refugee Committee : KRC) กล่าวว่าหลังรัฐประหารและการสู้รบรุนแรงมีผู้ลี้ภัยบางส่วนเข้ามาอยู่ในค่ายพักพิง 9 แห่งชายแดนไทยเพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ได้มีแผนให้ผู้ลี้ภัยในค่ายกลับประเทศต้นทาง แต่ทุกอย่างหยุดชะงักหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ส่วนการประสานให้ผู้ลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ล่าสุดมีข่าวว่าสหรัฐฯจะรับคนกลุ่มนี้ได้อยู่ด้วย แต่อยู่ในขั้นดำเนินการ ขณะเดียวกันมีผู้ลี้ภัยบางสวนที่ไม่ต้องการไปประเทศที่ 3 และไม่ต้องการกลับประเทศต้นทางเพราะอยู่ในค่ายมานานจึงอยากให้ช่วยประสานให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าถึงสิทธิด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพเพราะที่ผ่านมาไม่มีการประกอบอาชีพในศูนย์พักพิง นอกจากนี้ควรมีการออกเอกสารประเภทใดประเภทหนึ่งเพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นในคนเหล่านี้ได้มีความหวังและเป็นทางเลือกของชีวิต
“ช่วงหลังงบประมาณสนับสนุนค่ายผู้ลี้ภัยลดลงอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นข้อท้าทาย เพราะมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ”ผู้แทน KRC กล่าว
ผู้แทน KRC กล่าวว่า กรณีศูนย์พักพิงบ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี พบว่าหลังปี 2022 มีผู้หนีภัยเข้ามาอยู่ใหม่กว่า 600 คนและมีแนวโน้มว่าคนกลุ่มนี้จะมีการผลักดันออกกลับประเทศต้นทาง ขณะที่สถานการณ์สู้รบบริเวณชายแดนยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยากให้ กมธ.ประสานรัฐบาลไทยหากไม่อนุญาตให้คนกลุ่มนี้อยู่ในค่าย ก็ควรหาพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวให้อยู่ เพราะชาวบ้านยังหวาดกลัวกับการสู้รบซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพ อยากให้ทบทวนเรื่องนี้ และไม่ใช่เฉพาะแค่ค่ายบ้านถ้ำหิน แต่ค่ายที่เหลือเสนอให้เปิดเป็นพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวได้หรือไม่
ผู้แทนสหพันธ์อิระวดีโพ้นทะเล (Oversea Irrawaddy Association : OIA) กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้หนีภัยการสู้รบอาศัยอยู่ตามค่ายพักพิงริมแม่น้ำเมยฝั่งเมียนมาราว 10 แห่ง ๆละ 500-1,000 คน โดยไม่รู้ว่าจะมีการยิงกันอีกวันไหนจึงยังหลบอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย ครั้งแรกเป็นการลี้ภัยชั่วคราว แต่บางแห่งเริ่มอยู่มานาน 2-3 ปีเพราะกลับไปก็ไม่มีที่อยู่โดยเป็นคนที่อยู่ห่างจากชายแดน 5-10 กิโลเมตร อยากยื่นข้อเสนอให้บริเวณนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย
“คนกลุ่มนี้ไม่มีแผนไปประเทศที่ 3 แม้เห็นบ้านก็ไม่สามารถกลับไปอยู่ได้ เห็นนาก็ไม่สามารถกลับไปทำได้ เด็กๆก็ไม่มีโอกาสการศึกษา หากสถานการณ์ยาวนานกว่านี้ 3 ปี น่าเป็นห่วงอนาคตของเด็กๆเหล่านี้ ทุกวันนี้ต้องขอความช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้านและคนในชุมชน รวมทั้งแรงงานที่เข้าไปทำงานในเมืองและส่งเงินกลับมา เราขอบคุณที่ไทย แต่อยากให้พิจารณาให้การเข้าถึงคนกลุ่มนี้ดีขึ้น เพื่อส่งข้าวของที่เขาต้องการ”ผู้แทน OIA กล่าว
นายมานพ คีรีภูวดล รองประธานกมธ.กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนคือพบว่ามีการผลักดันผู้หนีภัยกลับไปโดยอ้างว่าสถานการณ์สงบแล้ว แต่จริงๆแล้วชาวบ้านที่ถูกผลักดันก็ไม่ได้กลับบ้านเพราะบ้านถูกเผาไปหมด โดยล่าสุดที่บ้านบ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ชาวบ้าน 1,600 คนถูกผลักดันกลับ และศูนย์พักพิงที่บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้งอีกกว่า 600 คนก็กำลังจะถูกผลักดันกลับ โดยทางการอ้างว่าเขากลับไปเอง
“ จริงๆแล้วมีแนวทางให้ความช่วยเหลือที่ สมช.วางไว้แล้ว ชาวบ้านกลุ่มนี้เขายังไม่พร้อมกลับไป เมื่อถูกบังคับส่งกลับเขาก็ต้องหลบภัยอยู่ตามตะเข็บชายแดน ในที่สุดจะเกิดค่ายพักพิงแบบตามมีตามเกิดมากมาย และไม่มีกระบวนการช่วยเหลือใดๆอย่างเป็นระบบ ขณะที่จุดผ่อนผันการค้าต่างๆก็ยังไม่เป็นความจริง”นายมานพ กล่าว
นายมานพกล่าวว่า ปัญหาผู้หนีภัยจากการสู้รบซึ่งปัจจุบันเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก จริงๆแล้วรัฐบาลควรเอาทุกกลุ่มขึ้นมาไว้บนดินทั้งหมด เพราะแทนที่พวกเขาจะได้อยู่อย่างถูกต้องและใช้ศักยภาพของตัวเองทำงานอยู่ในประเทศไทย แต่กลับไม่ได้รับการดำเนินการใดๆ ตอนนี้มีปัญหาต้องถูกรีดไถ ขณะเดียวกันเราควรเร่งดำเนินการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเด็ก
นายมานพให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า รัฐบาลควรเร่งสั่งการไม่ให้มีการผลักดันผู้ที่หนีภัยการสู้รบกลับประเทศพม่าในขณะที่ยังมีการสู้รบอยู่ มิฉะนั้นอาจถูกมองว่าส่งคนกลับไปตายหรือไม่ และกลายเป็นการทำลายภาพพจน์ของประเทศไทยและเกิดคำถามต่อประชาคมโลก เพราะประเทศไทยได้ไปลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศไว้หลายฉบับ ดังนั้นผู้หนีภัยการสู้รบควรได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย
อนึ่ง สำหรับสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทำให้มีผู้หนีภัยเข้ามาในประเทศไทย ด้านบ้านบ้องตี้บน ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ประมาณ 2,300 คน โดยกระจายกันอยู่กับเครือญาติในชุมชนฝั่งไทย อย่างไรก็ตามต่อมาผู้หนีภัยได้ถูกผลักดันกลับไปมากกว่า 1,000 คน แต่ผู้หนีภัยเหล่านี้ยังไม่สามารถกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมได้เพราะยังมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องและบ้านเรือนถูกทำลาย ดังนั้นจึงใช้วิธีหลบซ่อนอยู่ตามป่าแนวชายชายแดน บางส่วนใช้ซุ้มกอไผ่เป็นที่หลับนอนเพราะรู้สึกปลอดภัย ซึ่งกลุ่มองค์กรภาคประชาชนในพื้นที่คาดการณ์ว่าอาจจะมีผู้อพยพอีกมากกว่า 7,000 คน ที่กำลังหนีภัยความไม่สงบข้ามชายแดนเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยอีก หากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมายังไม่ยุติลง
ชาวบ้านรายหนึ่งที่ถูกผลักดันกลับแต่ยังคงหลบซ่อนอยู่แนวตะเข็บชายแดน กล่าวว่า “พวกเราต้องหนี และกลัวจะถูกจับ ต้องหนีอยู่ตามกอไผ่ที่มีหนาม แต่ละกออยู่กัน 2-3 คน เราอยู่ร่วมกันแบบนี้ บางคนบอกว่า ไม่มีอะไร แต่นี่คือสภาพความเป็นจริง เราต้องอยู่กันแบบนี้ บางคนบอกว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้อีกเป็นเดือน เรายังไม่รู้ว่าต้องนอนแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่ เรามีความลำบากเรื่องอาหาร และปัญหามากมาย (คำสัมภาษณ์ในคลิปวีดีโอ)