เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยระบุว่านายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่าสำนักงาน กสทช. พร้อมด้วยสำนักงาน กสทช. ภาค 3 และเขต 31 ลำปาง ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจติดตามการปรับเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่หันหน้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้รถตรวจจับสัญญาณลงในพื้นที่ อ.แม่สอด และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก พบว่าเสาที่มีการหันหน้าออกไปยังฝั่งตรงข้ามในพื้นที่ชเวก๊กโก่ และหวันหยา ฝั่งประเทศเมียนมามีการระงับสัญญาณในพื้นที่แล้วทุกจุด
นายไตรรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมได้ระงับสัญญาณเสาที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน 7 พื้นที่ รวมแล้วทั้งหมด 84 เสา ซึ่งการขออนุญาตติดตั้งถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับหันเสาไปทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน อาจก่อให้เกิดการนำสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากผู้ให้บริการของไทย ไปใช้ในการกระทำผิด และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้จะครบกำหนดที่ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะต้องส่งแผนการรื้อถอนเสามาให้สำนักงาน กสทช. รับทราบ ก่อนเร่งดำเนินการรื้อถอนให้แล้วเสร็จภายใน 30-45 วัน หากไม่ดำเนินการจะมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ โดยระยะเริ่มต้นสำนักงาน กสทช. จะมีการลงพื้นที่สุ่มตรวจพื้นที่ ๆ มีการรื้อถอนเสาว่าดำเนินการจริงหรือไม่ และจะมีการลงตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างเข้มข้นต่อไป
“ผมขอความร่วมมือผู้ประกอบการทุกค่ายให้รื้อถอนเสาที่อยู่บริเวณตะเข็บชายแดนให้หมด พอลงพื้นที่ทุกคนก็เห็นแล้วว่าตั้งเสาในไทยแต่หันไปประเทศเพื่อนบ้าน หันไปเพื่อสาเหตุใด เรื่องนี้อาจสร้างรายได้ให้คุณ แต่ประชาชน 70 ล้านคนเดือดร้อน เรารับไม่ได้ สำนักงาน กสทช. ก็ต้องขอโทษด้วยที่เราอนุญาตให้ตั้งเสาตามพิกัดที่ขอมาทุกอย่างถูกต้องหมด แต่คุณหันหน้าออกนอกประเทศแบบนี้ เพื่อวัตถุประสงค์อะไร ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางปกครอง และโทษสูงสุดคือเพิกถอนใบอนุญาต” นายไตรรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ได้กำชับให้ สำนักงาน กสทช. ส่วนภูมิภาค ใช้ผู้เชี่ยวชาญของ สำนักงาน กสทช. และเครื่องมือเทคนิค สุ่มตรวจสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ให้บริการ โดยเน้นหนักในพื้นที่ตะเข็บชายแดน ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเป็นภัยทางสังคมของประเทศ สำนักงาน กสทช. จะได้ประสานและทำข้อตกลงในการนำส่ง แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ในกรณีตรวจพบพฤติการณ์ของผู้ประกอบการรายใดเข้าข่ายเป็นผู้กระทำผิด สมรู้ร่วมคิด หรือให้การสนับสนุนการกระทำผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงในลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ การลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษี การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย รวมทั้งการฟอกเงิน แล้วแต่กรณีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”นายไตรรัตน์ ระบุ