เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 พลเอกบอ จ่อ แฮ รองผู้บัญชาการกองกำลังปลดปล่อยประชาชนกะเหรี่ยง KNLA (Karen National Liberation Army) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ” ถึงบทเรียนจากศึกแย่งชิงเมืองเมียวดีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งท้ายสุดกองทัพพม่าสามารถแย่งคืนพื้นที่ได้เนื่องจากกองกำลังกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force) ได้กลับลำหันกลับไปเป็นแนวร่วมกับสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (State Administration Council -SAC) ว่าเป็นบทเรียนสำหรับกองทัพกะเหรี่ยงเพราะว่าทหารเราต้องการจัดระเบียบพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและถูกต้อง แต่เมื่อการปฏิบัติไม่เป็นไปตามที่วางไว้ และมีข้อบกพร่องตรงไหน ทหารเข้าใจแล้ว ทหารเราได้บทเรียนและได้ข้อคิดในการกลับมาทบทวนตัวเองว่าทำไปแล้วไม่สำเร็จ
“ในศึกเมียวดีเรามีเป้าหมาย เรามีแผนร่วมกัน แต่พอทำจริงไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ เราจึงไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เราเห็นข้อบกพร่อง เราได้บทเรียนจากสิ่งเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแก้ไข” พล.อ.บอจ่อแฮ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าศึกเมืองเมียวดีทั่วโลกต่างจับตามองแต่สุดท้ายถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ของกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ รองผู้บัญชาการ KNLA กล่าวว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆ คือ เราผิดพลาดเอง ทำให้คนข้างนอกเข้าใจเราผิด นี่เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมามักได้ยินคำว่า “กะเหรี่ยงไม่รบกะเหรี่ยง” ยืนยันเช่นนั้นหรือไม่ รองผู้บัญชาการ KNLA กล่าวว่า ตรงนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดที่จะทำให้ความต้องการของประชาชนกะเหรี่ยงสมบูรณ์ และไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ในปฏิบัติการทางทหาร เราบอกว่าไม่ยิงกันเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นยังมีอุปสรรคข้อติดขัดอีกหลายอย่างโดยที่ผ่านมาเราบอกว่าไม่ยิงกันเอง แต่เราไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ความเป็นจริงยังมีอุปสรรคกีดขวางอีกหลายอย่าง
“การจะรวมตัวกันเพื่อทำงานในเป้าหมายเดียวกันนั้น ยังรวมกันไม่ได้ 100% ความหมายคือว่า ที่เราไม่ชนะ เพราะว่ายังไม่มีใจที่จะเข้ามาร่วมกันทำงาน เราไม่รบกันแล้วจะทำให้เป้าหมายเราสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่ แต่การเข้ามาทำงานร่วมกันด้วยเป้าหมายเดียวกันนั้น ต้องเกิดขึ้นให้ได้ 100% ก่อน เพราะว่าแต่ละคนมีความต้องการ มีความสนใจที่ไม่เหมือนกัน ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ความสามัคคีไม่เกิดเพราะเหตุผลเหล่านี้ ถ้าคนกะเหรี่ยงเรามองการณ์ไกลแล้วเข้ามาร่วมกันก็สำเร็จ แต่ตอนนี้คนกะเหรี่ยงด้วยกัน ยังมีมุมมองที่ไม่ไกลพอ ยังมีความเข้าใจที่ไม่ลึกซึ้งพอ ที่เราบอกว่า กะเหรี่ยงไม่รบกันเองแล้วจะสำเร็จไปถึงเป้าหมายได้ เราพูดง่าย เราจึงยังทำอะไรไม่สำเร็จ ไม่ถึงเป้าหมายสักที” พล.อ.บอจ่อแฮ กล่าว
ผู้นำทางทหารของ KNU กล่าวว่า ชาวกะเหรี่ยงบางกลุ่มยังมองเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้า และไม่ได้มองไปในระยะไกล พวกเขาไม่ได้คิดเผื่อลูกหลานและชนรุ่นหลัง ถ้าเราเปิดใจให้กว้างและมองอนาคตไปให้ไกล เราทำงานร่วมกันได้เลย แต่ตอนนี้บางคนมองแค่ประโยชน์เฉพาะหน้า และเรายังไม่เปิดใจกันมากพอ นี่จึงเป็นอุปสรรคในการทำงานอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่าความพยายามการสร้างความเป็นชาติของชาวกะเหรี่ยงยังไม่เพียงพอหรือไม่ พล.อ.บอจ่อแฮกล่าวว่า หลายคนเห็นตรงกันว่า เราจะมาสร้างชาติร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติต้องดูว่ามีศักยภาพอะไรบ้างและบกพร่องตรงไหน ยังขาดอะไร ที่สำคัญคือการไม่รู้ตัวเอง และอะไรที่จะเป็นพลังร่วมกันเขายังไม่เข้าใจกันดีพอ เช่น เราต้องการสิ่งนี้ เราจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ แต่เราไม่ทำมันอย่างเต็มที่ อยากได้ชาติ แต่ทำเพียงแค่การพูดอย่างไรก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถึงแม้จะมีความตั้งใจเดียวกัน มีจุดยืนร่วมกัน แต่การอุทิศตัวและความตั้งใจในการทำงานยังไม่สมดุล สิ่งที่พูดไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทำ ไม่ทุ่มเทในสิ่งที่ทำ
“จริงๆ แล้วสถานการณ์ในตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชาติ เราต้องพยายามทุ่มเทเต็มที่ ถ้าเราไม่พยายามตอนนี้ ในอนาคตโอกาสเราก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะว่าโอกาสดีๆ จะมาเป็นช่วงๆ ในช่วงจังหวะที่ดีนี้เราต้องคว้าไว้ ถ้าเราไม่ทำอะไร ถ้าโอกาสนั้นผ่านพ้นไปเราจะทำอะไรก็จะยากอีก โอกาสดีๆไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป” พล.อ.บอจ่อแฮ กล่าว
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาสามารถขับไล่กองทัพพม่าออกจากแนวชายแดนไทย-รัฐกะเหรี่ยงได้หลายพื้นที่เป็นผลงานที่น่าพึงพอใจหรือยัง พล.อ.บอจ่อแฮกล่าวว่า ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะตลอดแนวชายแดนมีแต่ประชาชนของเราอยู่จำนวนมาก ถ้าเราให้ชนชาติอื่นมาปกครอง ถึงแม้เขาอาจจะหวังดี แต่ก็ไม่ 100% การดูแลประชาชนของเราเป็นหน้าที่ที่เราต้องปกป้องดูแล ไม่ใช่ให้ใครคนอื่นมาปกป้องให้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ อนาคตของประชาชนกะเหรี่ยงเราจะดีขึ้น เป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้ามาบริหารจัดการและทำด้วยตัวเอง อย่าหวังให้คนอื่นมาทำให้
ผู้สื่อข่าวถามว่ายังมีกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงอีกหลายกลุ่มยึดครองหลายพื้นที่จะทำอย่างไร รองผบ.สส.KNLA กล่าวว่าต้องยอมรับว่าเกิดจากข้อบกพร่องและความผิดพลาดในการบริหารเพราะเราบริหารไม่ดี ทำให้เกิดกลุ่มต่างๆแยกย่อยออกไป ถ้าเราบริหารดีก็ไม่ควรที่จะมีกลุ่มแยกตัวออกไป เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นเอง
“ส่วนตัวคิดว่าคนกะเหรี่ยงที่จะร่วมกันสร้างความสามัคคีต้องเป็นคนที่เปิดใจกว้าง และมองการณ์ไกล เราต้องสร้างความร่วมมือกัน บางคนอาจมีข้อบกพร่อง แต่ยังมีคนอีกมากมายที่มีความตั้งใจที่ดี ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการบริหาร เราต้องพยายามทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง และทำงานด้วยความบริสุทธ์ใจ จะมีคนที่อยากมาทำงานร่วมกับเราเอง”พล.อ.บอจ่อแฮ กล่าว
เมื่อถามถึงแหล่งอาชญากรรมของกลุ่มทุนจีนเทาริมแม่น้ำเมย ฝั่งเมืองเมียวดีจะจัดการอย่างไร พล.อ.บอจ่อแฮกล่าวว่า จะโทษแต่พวกเขาก็ไม่ได้ มีกล่าวว่า “คนดีก็มีเพื่อน คนชั่วก็มีเพื่อน” สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือพวกเขามีเพื่อน เราต้องยอมรับว่าทุกฝ่ายต่างมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเขาได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งพม่า ไทย จีน และกะเหรี่ยง มีส่วนเกี่ยวข้องหมด สถานการณ์จึงเป็นอย่างที่เห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่ SAC พยายามอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ในรัฐชาติพันธุ์ให้กับต่างชาติ เช่น การพลิกฟื้นโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายให้กับทุนรัสเซีย หรือโครงการเขื่อนมิตซงในรัฐคะฉิ่นให้กับจีน พล.อ.บอจ่อแฮกล่าวว่า เป็นจุดที่ SAC ต้องการประคองให้อำนาจให้อยู่นานขึ้น ถ้าถามว่าจะช่วยกองทัพพม่าได้หรือไม่ ตอบว่าไม่ได้เพราะเป็นเพียงการยื้อเวลาให้กองทัพเท่านั้น พม่าต้องทำทุกวิถีทาง แต่ถามว่าสร้างความมั่นคงได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ ในฐานะที่พวกเราเป็นฝ่ายต่อต้านก็ต้องพยายามต้านให้ได้นานที่สุด หากเราไม่ทำไรเลยโครงการเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นก็เหมือนบทเรียนตั้งแต่ปี 88 ซึ่งตอนนั้นทหารพม่าตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบีบทำให้เขาต้องหาพันธมิตร เขาล่อลวงทุกอย่าง เปิดทางให้มีการตัดถนน สัมปทานทำไม้ในป่าของพม่า มีถนนจากชั้นในพม่าออกมาถึงชายแดนไทย ต่อมาก็ใช้ถนนทำไม้เหล่านั้นเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์กองทัพพม่า ก่อนหน้านั้นทหารพม่าต้องเดินเท้า แต่เมื่อสัมปทานไม้ก็ใช้รถบรรทุกขนกำลังพลเข้ามาได้สบาย แต่ตอนนั้นกลุ่มชาติพันธุ์ก็ปล่อย แต่เวลานี้หากเราปล่อย เขาจะฟื้นได้ และการปฏิวัติของเราก็จะไม่สำเร็จ