เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 มูลนิธิเพื่ออิสรภาพ (The Exodus Road)ประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ชาวโมร็อกโก จำนวน 17 คน โดยระบุว่า มูลนิธิฯได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้เสียหายและครอบครัวชาวโมร็อกโกจำนวน 17 คน ถูกขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติจีนร่วมมือกับชาวโมร็อกโกหลอกเข้าไปทำงานแต่เมื่อเดินทางมาถึงพบว่าตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ ถูกบังคับกักขัง ทำร้ายร่างกาย รวมทั้งเรียกค่าไถ่ 6,000-8,000 เหรียญสหรัฐฯต่อคนโดยข่มขู่ว่าหากไม่สามารถนำเงินมาจ่ายได้จะถูกส่งไปขายยังพิกัดอื่นๆ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจำนวน 5 คนได้พยามติดต่อขอความช่วยเหลือครอบครัวให้ส่งเงินค่าไถ่แต่ก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ทั้งหมดถูกกักขังในพื้นที่เมียนมาอยู่ตรงข้ามกับ ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก และรอความช่วยเหลือนับตั้งแต่เดือนเมษายนพ.ศ.2567 เป็นต้นมา
“มูลนิธิฯได้ประสานสถานเอกอัครราชทูตโมร็อกโก ประจำประเทศไทย เพื่อทำหนังสือขอความช่วยเหลือไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย และกระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา แต่เมื่อประสานติดตามกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อ.แม่สอด และที่ว่าการอำเภอพบพระ จ.ตาก เพื่อสอบถามความคืบหน้า พบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับการประสานส่งต่อข้อมูลการขอความช่วยเหลือดังกล่าว”หนังสือระบุ
ในหนังสือระบุด้วยว่า หลายภาคส่วนได้พยายามร่วมมือกันประสานทุกช่องทางและได้รับการรายงานจากเหยื่อชาวโมร็อกโกในพิกัดว่าคืนวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทางกองกำลัง The Democratic Karen Buddhist Army (DKBA) ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีอำนาจปกครองเหนือพิกัดดังกล่าวได้เข้าไปตรวจสอบรายชื่อเหยื่อชาวโมร็อกโกทั้งหมดแล้ว ขอความอนุเคราะห์จากท่านเพื่อเร่งประสานสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เป็นการเร่งด่วนเพื่อเร่งดำเนินการติดตามช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ชาวโมร็อกโก จำนวน 17 คนดังกล่าว
ขณะที่นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ก กรณีที่ได้รับการประสานจากภาคประชาชนให้ช่วยเหลือการค้ามนุษย์ว่ามีชาวโมร๊อกโก จำนาน 17 คน และทราบจากแหล่งข่าวอื่นว่ามีชาวศรีลังกา จำนวน 41 คน ถูกหลอกลวงไปทำงานและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา สถานที่คนในพื้นที่เรียกว่าช่องแคบฝั่งเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ
นายกันวีร์ ระบุว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ธุรกิจจีนสีเทา/ดำ ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคน ทำคนเหมือนไม่ใช่คน บริษัทจัดหางานนายหน้าจากโมร็อกโก และคงรวมถึงศรีลังกา เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดหาและนำพา พวกเขามายังพื้นที่ชายแดนเมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ สุดท้ายกลายเป็นการค้ามนุษย์ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่บริเวณชายแดนติดกับไทยและอยู่ในความดูแลของกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ โดยพวกจีนสีเทา/ดำ รู้ดีว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่อาจถูกเรียกว่าเป็น No Man Land เพราะยังเป็นพื้นที่สู้รบในเมียนมา จึงใช้จังหวะให้เป็นโอกาสการทำธุรกิจหลอกลวงทั้งคนไปทำงาน และคนบริสุทธิ์นับล้านคนผ่านคาสิโนออนไลน์ คอลเซนเตอร์ และทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย
“จนสุดท้ายมีทั้งเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์ถูกหลอกไปทำงานและทำร้ายร่างกาย บีบคั้นให้ทำงานหากไม่ทำก็ประทุษร้าย และคนนับล้านอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ถูกคอลเซนเตอร์หลอกลวงเงินรวมกันหลายร้อยล้านบาท” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวว่า กรณีชาวโมร๊อกโก 17 ราย และ ศรีลังกา 41 รายนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ 1.เอาตัวเหยื่อทั้งหมด ออกจากสถานที่ที่ถูกกักขัง ง่ายที่สุดคือการข้ามแดนมาไทย โดยการขอความร่วมมือจากกองกำลังชาติพันธุ์ที่ดูแลพื้นที่ มอบให้ทหารไทยช่วยประสานงาน 2.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับหน้าที่ต่อ ผ่านกระบวนการ National Referal Mechanism (NRM) ทำการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์ ตามกระบวนการที่มีอยู่ 3.สถานทูตโมร็อกโกและศรีลังการับตัวเหยื่อกลับประเทศ 4.นายหน้าและผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
“จริงๆ แล้วได้มีการร้องขอผ่านกระทรวงการต่างประเทศไปเป็นแรมเดือนแต่กลับนิ่งอยู่ ไทยก็มักบอกว่า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถประสานกับกองกำลังที่ไม่ใช่ฝั่งรัฐบาลของประเทศอื่นได้ เราต้องทำเป็นแค่ G to G เท่านั้น นี่ชีวิตคนครับ หากท่านไม่กล้าประสานและติดต่อกองกำลังชาติพันธุ์เพราะเกรงว่าศักดิ์ศรีของรัฐบาลไทยจะถูกด้อยค่าไป เพราะเราไม่สามารถคุยกับพวกไม่ใช่รัฐได้ บอกผมครับ ผมไม่ถือตัวและยอมที่จะคุยกับทุกคนเพื่อคืนศักดิ์ความเป็นมนุษย์ให้มนุษย์โดยเร็ว รีบทำเถอะครับ ทุกวินาทีสำคัญมากเพราะชีวิตและลมหายใจพวกเค้ารอคนเค้าไปช่วยอยู่” นายกัณวีร์ กล่าว
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดน เปิดเผยว่าชาวโมร็อกโกกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ถูกหลอกมาทำงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยระบุว่า มาทำงานในประเทศไทยซึ่งมีรายได้เริ่มต้นเดือนละ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯในตำแหน่ง E-Commerce และเมื่อมีประสบการณ์จะได้รายได้เพิ่มขั้นเป็น 2,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยทยอยเดินทางกันมา บางรายเดินทางมายังประเทศมาเลเซียก่อนแล้วต่อเครื่องมาลงที่สนามบินดอนเมืองและนั่งเครื่องบินต่อไปยังสนามบินแม่สอด จากนั้นมีรถตู้มารับและพาข้ามแม่น้ำเมยโดยเรือหายาวในช่องทางธรรมชาติ โดยมีคนจีนคอยควบคุมดูแลจนถึงแหล่งที่ทำงานบริเวณตรงข้ามกับบ้านช่องแคบ อ.พบพระ ชายแดนเมียวดี-ไทย
——–
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.