กลุ่มเหยื่อชาวโมร็อกโกซึ่งถูกหลอกไปทำงานให้ทุนจีนผิดกฎหมายในเมียนมา บางส่วนได้รับการช่วยเหลือเข้าสู่กลไกคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ในไทยแล้ว ตัวแทนมูลนิธิซึ่งประสานงานช่วยเหลือเหยื่อวอนรัฐไทยสนับสนุนนโยบายด้านมนุษยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ สส.พรรคเป็นธรรมชี้ การช่วยเหลือเหยื่อเป็นเรื่องเฉพาะหน้าซึ่งไทยควรรับบทนำในระดับภูมิภาค แต่อีกเรื่องที่สำคัญคือการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวพันฝั่งไทย ส่วนที่ปรึกษานายกฯ รับลูกส่งเรื่องให้ผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลและเตรียมติดตามธุรกรรมย้อนรอยเพื่อล่าตัวผู้ก่อเหตุ
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 สำนักข่าว The Reporters ร่วมกับสำนักข่าวชายขอบ จัดเสวนาออนไลน์เรื่องเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ริมแม่น้ำเมยกับการช่วยเหลือของทางการไทย หลังจากปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีกลุ่มชาวโมร็อกโกซึ่งตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านมูลนิธิเพื่ออิสรภาพ (The Exodus Road) ประเทศไทย นำไปสู่การประสานงานกับหลายภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา จนสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายบางส่วนออกจากการกักขังหน่วงเหนี่ยวของกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมายในเมืองเมียวดี ริมแม่น้ำเมยในฝั่งเมียนมาได้สำเร็จ แต่ยังมีเหยื่อชาวโมร็อกโกและชาวต่างชาติอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังถูกกักขังในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย
ข้อมูลจากผู้แทนมูลนิธิเพื่ออิสรภาพ ระบุว่าชาวโมร็อกโกที่ต้องการความช่วยเหลือจากฝั่งเมียนมามีอยู่ประมาณ 22 คน โดยบางส่วนที่ออกมาได้แล้วได้เข้าสู่กระบวนการตามกลไกคัดกรอง ส่งต่อ และช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ หรือ NRM (National Referral Mechanism) ในประเทศไทย โดยเหยื่อกลุ่มนี้ถูกบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์ล่อหลอกเงินจากเหยื่อผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์ และกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งจะต้องหลอกเงินคือหญิงโสดชาวอเมริกันอายุ 40 ปีขึ้นไป
มูลนิธิฯเข้าไปมีส่วนร่วมในการประสานงานช่วยเหลือเพราะได้รับการติดต่อจากครอบครัวของเหยื่อ ซึ่งได้ข้อมูลบางส่วนจากช่วงที่เหยื่อถ่ายทอดสดสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองผ่านสื่อโซเชียล ส่งผลให้เหยื่อถูกลงโทษด้วยการช็อตไฟฟ้าและอาจเสี่ยงจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทางมูลนิธิจึงติดต่อไปยังภาคส่วนต่างๆ ทั้งฝั่งไทยและเมียนมาเพื่อหาทางช่วยเหลือ
ผู้แทนมูลนิธิฯระบุว่า ทางด้านครอบครัวเหยื่อพยายามหาเงินราว 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาจ่ายเป็นค่าไถ่ตัวให้พ้นจากกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมายในเมียนมา และเหยื่อชาวโมร็อกโกกลุ่มแรกที่ได้รับความช่วยเหลือข้ามมาฝั่งไทยสามารถเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดได้ แต่พวกเขายินยอมเข้าสู่กระบวนการ NRM ในไทยเพื่อจะบอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองและเป็นบทเรียนไม่ให้คนอื่นๆ ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน
ขณะที่ กัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม และกรรมาธิการว่าด้วยการส่งเสริมกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา ระบุว่าอยากให้มองที่ภาพใหญ่ เพราะปลายทางมีคนเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ แต่ต้นทางคือการหลอกลวง มีกระบวนการนำคนมาสู่ชายแดนไทยและเมียนมา รวมถึงลาวและกัมพูชา และกรณีเหยื่อชาวโมร็อกโกมาลงเครื่องบินที่ไทยแล้วถูกส่งข้ามชายแดนไปได้อย่างไร ชายแดนไทยกลายเป็นพื้นที่เกี่ยวพันการต้มตุ๋นหลอกลวง การสแกมทั้งหลาย สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ตมาจากไหนถ้าไม่ใช่มาจากไทย การต่อจิ๊กซอว์เหล่านี้จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าขบวนการสแกมเมอร์ในเมียนมาคงดำเนินการต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีบทบาทของฝั่งไทย
ส่วน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ระบุว่าเหยื่อเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตหรืออธิปไตย แต่ถ้ามองในหลักการมนุษยธรรมซึ่งข้ามเขตแดนและข้ามเรื่องสัญชาติไปแล้ว ประเทศไทยถือว่าอยู่ใกล้สุด และไทยเคยช่วยเหลือกลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์มาอย่างยาวนาน แม้ตนเองจะทำงานเรื่องชายแดน แต่ไม่เคยรับทราบเรื่องนี้มาก่อน เมื่อได้ทราบว่าทุนจีนเทามีขนาดใหญ่ และมีคนไทยถูกหลอก กลายเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ นับเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยตระหนักรู้มากขึ้น เชื่อว่าทุกอย่างพัวพันกันไปหมด ทั้งการค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ ยาเสพติด และฟอกเงิน
ที่ปรึกษานายกฯ ยังระบุว่ากระบวนการ NRM เป็นเรื่องใหม่ที่หลายคนอาจไม่ทราบมาก่อน แต่พอมีกรณีเหยื่อทุนจีนเทาเกิดขึ้น มีการร่วมมือระหว่างตำรวจจีน ตำรวจเมียนมา และตำรวจไทย ไทยจึงต้องรับคนเหล่านี้มาสู่ดินแดนไทยเพื่อกลับสู่กลไกด้านมนุษยธรรม และกระบวนการ NRM เป็นเรื่องที่ไทยควรใช้จังหวะนี้แสดงการเป็นผู้นำให้เวทีโลกรับทราบว่าเราช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคำถามว่าการประสานงานช่วยเหลือที่ตัวแทนมูลนิธิเพื่ออิสรภาพระบุว่าติดต่อกับทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนทั้งไทยและเมียนมา แต่สงสัยว่าฝั่งเมียนมาติดต่อใครบ้าง เป็นหน่วยงานราชการหรือไม่ เพราะตอนนี้สถานการณ์ฝั่งเมียนมาเปรียบได้กับ ‘บ้านป่าเมืองเถื่อน’
ผู้แทนมูลนิธิฯชี้แจงว่าการช่วยเหลือได้ติดต่อทุกช่องทางในฝั่งเมียนมา เพราะคนที่ถูกทำร้ายหลายคนอาการหนัก เสี่ยงจะสูญเสียชีวิต จึงก็ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ในเมียนมามีเขตที่อยู่ในความดูแลของกองกำลัง นอกจากติดต่อรัฐบาลพม่าแล้วก็ต้องติดต่อกับกองกำลังที่ดูแลอยู่ในแต่ละพื้นที่ด้วย และกรณีที่คนไทยตกเป็นเหยื่อก็ได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์เช่นกัน
นอกจากนี้ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมกรณีช่วยเหลือคนไทยที่เป็นเหยื่อขบวนการจีนเทาในเมืองเล้าก์ก่าย เขตปกครองตนเองโกก้างของเมียนมาเมื่อปี 2566 ฝ่ายไทยพยายามเข้าไปช่วย แต่ไปไม่ถึงเล้าก์ก่าย ขณะที่ฝ่ายกองกำลังเป็นฝ่ายช่วยเหลือติดตามคนกลับมาให้ และเหยื่อกรณีเล้าก์ก่ายได้รับการดูแลอย่างดี ปลอดภัย ทั้งที่อยู่ในภาวะสงครามแต่มีอาหารกินทุกมื้อ การเดินทางยากลำบากแค่ไหนก็มีความพยายามนำตัวเหยื่อคนไทยมาส่งอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นน้ำใจที่มีคุณค่ามาก เมื่อหันมาดูรัฐไทยซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมมากกว่า ก็น่าจะทำเพื่อช่วยเหลือเหยื่อคนอื่นๆ ต่อ เมื่อมีคนต่างชาติตกเป็นเหยื่อใกล้ชายแดนไทยก็คงไม่มีใครช่วยได้ถ้าไม่ใช่ไทยที่มีพรมแดนอยู่ติดกัน ทั้งยังจะเป็นจุดเริ่มต้นการช่วยเหลือเหยื่อคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นับร้อยคนด้วย
กัณวีร์ ระบุเพิ่มเติมว่าการแก้ปัญหาต้องทำ 2 ระลอก โดยอันดับแรกคือสถานการณ์เฉพาะหน้า ต้องช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เหยื่ออย่างเร่งด่วนโดยใช้กระบวนการ NRM ส่งต่อ เป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะเป็นกลไกระดับชาติที่ทำงานได้อย่างถูกต้องและทางการไทยต้องผลักดันให้กลไกนี่เข้มแข็งยิ่งขึ้น แม้กระทรวง พม.จะเป็นเจ้าภาพหลัก มีศักยภาพเพียงพอ แต่เชื่อว่าหน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ ตม. อส. และภาคการปกครองส่วนท้องถิ่นพร้อมจะช่วยเหลือและขับเคลื่อน
อันดับต่อมา ต้องทำให้กระบวนการ NRM เข้มแข็งและผลักดันเป็นกรอบการทำงานระดับประเทศจริงๆ และ ควรคิดเป็นอันดับแรกก่อนว่าผู้เสียหายคือเหยื่อ ไม่ใช่อาชญากร และใช้กลไกการคัดกรองแยกแยะอย่างเป็นระบบ พร้อมย้ำด้วยว่าไทยต้องใช้เวทีโลกให้เป็นประโยชน์ เพราะตอนนี้เมียนมากำลังเปราะบาง สภาพความเป็นรัฐในชายแดนเมียนมาอยู่ในสภาวะง่อนแง่น ตามแนวชายแดนเป็นพื้นที่ซึ่งรัฐเข้าไปไม่ถึง เพราะอยู่ในความดูแลของกองกำลัง จึงต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าจะเอาตัวละครตรงไหนมากดดันให้อาชญากรข้ามชาติหมดไป เช่น การขอความร่วมมือจากรัฐบาลจีนในการจัดการกับอาชญากรรมข้ามชาติ
พล.อ.นิพัทธ์ สรุปว่าเรื่องนี้เป็นสัญญาณเตือน ได้ส่งข้อมูลจากสื่อและผู้ที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่พิจารณาเบื้องต้นแล้ว จะต้องทำเรื่องระบบติดต่อสื่อสารเพื่อรับเรื่องและแจ้งเตือนสังคมอย่างเป็นระบบ อันดับต่อมาคือการติดตามระบบธุรกรรมการเงิน เพราะส่วนตัวไม่เชื่อว่าขบวนการเหล่านี้จะใช้วิธีมัดเงินเป็นก้อนแล้วขนส่งข้ามแดน แต่ต้องมีระบบฝากโอนธุรกรรมต่างๆ ซึ่งหน่วยงานไทยมีความสามารถที่จะติดตามย้อนรอยกลับไปยังผู้ก่อเหตุได้แน่นอน และอีกเรื่องที่เห็นด้วยกับกัณวีร์คือการได้รับความร่วมมือจากจีน ได้เห็นแล้วว่าทางการจีนเน้นการปราบปรามทุนผิดกฎหมายจริงจึง น่าจะขอรับความช่วยเหลือได้
—————–