เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 คณะทำงานติดตามการลงทุนข้ามพรมแดน (Extraterritorial Obligation Watch Coalition) ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทซีเคพาวเวอร์ เพื่อขอรายงานมาตรการลดผลกระทบสะสมเกี่ยวกับตะกอนและทางปลาผ่าน แผนบรรเทาภาวะฉุกเฉินจากการบริหารจัดการเขื่อนไซยะบุรีต่อประชาชนท้ายน้ำใน 7 จังหวัดประเทศไทย และสถานภาพปัจจุบันด้านเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แปลงอพยพ และรายงาน One-Report ที่บริษัทได้นำส่งต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีสำเนาส่งถึง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เนื้อหาในจดหมายระบุว่า บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด มหาชน เป็นผู้ลงทุนในบริษัท ไซยะบุรีพาวเวอร์ จำกัด ได้ดำเนินการบริหารจัดการเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเป็นเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่างแห่งแรกตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา นับเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ซึ่งมีการรายงานข่าวระบุว่า ระบบนิเวศของแม่น้ำโขงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น การผันผวนขึ้นลงของแม่น้ำโขงที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล การลดลงของปลาแม่น้ำโขง และปรากฏการณ์ แม่น้ำโขงสีฟ้าคล้ายทะเลเนื่องจากขาดตะกอนแร่ธาตุ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
“ในการประชุมของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ที่เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว เมื่อเดือน ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับรายงานการผลกระทบสะสมเกี่ยวกับตะกอน และการอพยพของปลาผ่านในที่ประชุม แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเพียงพอที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศแม่น้ำโขงตอนล่างของเขื่อนไซยะบุรีได้อย่างชัดเจนและมีข้อมูลเป็นนัยสำคัญ
“ขณะนี้ประเทศไทยได้มีการประกาศรับหลักการดังกล่าวและมีการออกแผนปฏิบัติการชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ฉบับที่ 2 การลงทุนข้ามพรมแดนก็เป็นหนึ่งวาระสำคัญในแผนดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านต้องมีเคารพสิทธิของชุมชนและปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่ง บริษัทฯ ได้ประกาศนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องกับหลักการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) หลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGP on Business and Human Rights) และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อปี 2565 บริษัทได้มีประกาศหลักการดำเนินกิจการที่ยั่งยืนเกี่ยวกับผู้มีส่วนได้เสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในเว็บไซต์ของบริษัทในทางสาธารณะ
“จึงขอเรียกร้องให้ทางบริษัทเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับ รายงานมาตรการลดผลกระทบสะสมเกี่ยวกับตะกอนและทางปลาผ่าน แผนบรรเทาภาวะฉุกเฉินจากการบริหารจัดการเขื่อนไซยะบุรีต่อประชาชนท้ายน้ำใน 7 จังหวัดประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับพวกเราในฐานะประชาชนไทย ผู้ใช้ไฟฟ้า และชุมชนที่อยู่ตอนล่างของเขื่อนไซยะบุรีใน 7 จังหวัดภาคอีสาน ได้รับทราบความคืบหน้าและเตรียมตัวรับมือต่อเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อันเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล” จดหมายระบุ
ทางด้านสื่อสังคมออนไลน์ของลาว มีการโพสคลิปแม่น้ำโขง บริเวณสะพานท่าเดื่อ ซึ่งเป็นบริเวณอ่างเก็บน้ำของเขื่อนไซยะบุรี ห่างจากเขื่อนประมาณ 30 กม. พบว่ามีท่อนไม้ลอยอยู่เป็นแพขนาดใหญ่ ซึ่งคลิปดังกล่าวมีการแชร์จำนวนมาก และมีความคิดเห็นแสดงความกังวลว่าแพไม้เหล่านี้หากไหลผ่านเขื่อนมาที่พรมแดนไทยลาวจะสร้างความเสียหายอย่างไรบ้าง
นายชาญณรงค์ วงศ์ลา เลขานุการกลุ่มฮักเชียงคาน จ.เลย กล่าวว่าติดตามพบว่าวันนี้ระดับน้ำโขงขึ้นประมาณ 70 ซม. แต่ท่อนไม้ยังลอยมาไม่ถึง เท่าที่เห็นในคลิปก็กังวลว่าชาวบ้านที่เข้าไม่ถึงข้อมูลจะเฝ้าระวังอย่างไร ยังไม่มีกลไกในการแจ้งเตือน อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแจ้งประชาชนให้ทันการณ์ ที่ผ่านมาเป็นการแจ้งตามลำดับ มาจากจังหวัด อำเภอ มากว่าจะถึงชุมชนก็ไม่ทันแล้ว