สำนักข่าว Eleven Media Groups รายงานเมื่อ 26 สิงหาคม 2567 ว่า ข้อมูลขององค์กรยูนิเซฟระบุว่า 32% ของเหยื่อที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดพบว่าเป็นเด็ก โดยเด็กถึง 692 คนจากทั่วประเทศพม่าที่ต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 โดยเด็กจำนวน 102 คนต้องเสียชีวิตและอีก 590 คน ได้รับบาดเจ็บ โดยในรัฐฉานเพียงแห่งเดียว มีประชาชนได้รับผลกระทบจากกับระเบิดถึง 24 % ของตัวเลขทั้งหมด
องค์กรยูนิเซฟระบุว่า ในรัฐฉานนั้น ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีประชาชนต้องเสียชีวิตจากกับระเบิดจำนวนทั้งสิ้น 20 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 147 คน ขณะที่ในเขตสะกายนั้น มีประชาชนเสียชีวิตจากกับระเบิด 19 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 99 คน ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน คิดเป็น 17 % ของตัวเลขทั้งหมด ขณะที่ในรัฐอาระกันนั้น มีประชาชนเสียชีวิตจากกับระเบิด 15 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 15 คน ขณะที่กับระเบิดยังได้สร้างความสูญเสียให้กับประชาชนในพื้นที่อื่นๆอย่างเขตอิรวดี เขตพะโค เขตมะโกย เขตมัณฑะเลย์ หรือรัฐชิน รัฐกะเหรี่ยง รัฐคะเรนนีเป็นต้นอีก 180 คน
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มนักเคลื่อนไหว 28 องค์กร และองค์กรเอ็นจีโออีก 115 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้ประชาคมโลกออกมาใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อกองทัพอาระกัน (Arakan Army – AA) ซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาในระหว่างพยายามยึดเมืองต่างๆในเขตรัฐอาระกัน ซึ่งทำให้มีชาวโรงฮิงญาต้องเสียชีวิตมากกว่า 2,000 คน
แถลงการณ์ได้ยกตัวอย่างเหตุสังหารชาวโรฮิงญาที่พยายามหนีออกจากเมืองมงดอว์เพื่อไปยังบังกลาเทศตรงบริเวณชายฝั่งแม่น้ำนาฟ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้มีชาวโรฮิงญาเสียชีวิตจำนวน 200 คน โดยในแถลงการณ์อ้างว่า ถูกกองทัพอาระกันใช้อาวุธหนักและโดรนติดอาวุธโจมตี และเหยื่อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงและเด็ก อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนั้นกองทัพอาระกันได้ออกมาปฏิเสธ
ในแถลงการณ์ร่วมยังระบุว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา กองทัพอาระกันได้เข้าค้นชุมชนของชาวโรฮิงญาและได้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักต่อชาวโรฮิงญา รวมถึงจุดไฟเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญา เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีชาวโรฮิงญาถูกสังหารมากกว่า 2,000 คน แต่ทางกองทัพอาระกันกลับอ้างว่า เป็นการทิ้งระเบิดของกองทัพพม่า และขณะนี้สถานการณ์ของชาวโรฮิงญาติดอยู่ระหว่างความขัดแย้งท่ามกลางสงครามระหว่างกองทัพอาระกันและกองทัพพม่า
“ชาวโรฮิงญาถูกยิงอย่างไม่เลือกหน้า และยังตกเป็นเป้าหมายกลุ่มติดอาวุธทั้งสองฝ่าย ในทุกๆวัน ชาวโรฮิงญากำลังเผชิญกับการถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่และโดรนติดอาวุธโจมตี” ในแถลงการณ์ระบุ โดยองค์กรทั้งหมดที่ร่วมออกแถลงการณ์ได้เรียกร้องให้กองทัพอาระกัน AA ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาและชาติพันธุ์อื่นๆ รวมทั้งเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาสืบสวนเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐอาระกัน