เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 สถานีวิทยุ-โทรทัศน์แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว ได้รายงานว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำร่วมกับการปกครองส่วนภูมิภาค ทหาร ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ใน 4 จุด จาก 46 พื้นที่ 16 บริษัทที่ดำเนินงานอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยสามารถควบคุมขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงซึ่งเป็นชาวต่างชาติได้ 60 คน และบางส่วนเป็นคนลาว โดยยึดของกลางได้คือคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและอื่นๆ
นายอนุสิน สักปะเสิด หัวหน้ากองบัญชาการพิทักษ์สันติสุข เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ให้สัมภาษณ์ว่า การจับกุมปราบปรามครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 นับตั้งแต่เมื่อปี 2566 ที่สามารถดำเนินกับองค์กรและบริษัทมากกว่า 240 แห่ง โดยเมื่อวันที่ 9-25 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ดำเนินการให้ผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายยุติการดำเนินงานและมอบตัวตามกฎหมาย หลังจากนั้นในวันที่ 26-27 สิงหาคม ได้ดำเนินการจับกุมกลุ่มเป้าหมาย แม้บางบริษัทได้ย้ายออกไปแล้ว แต่ยังมีบางบริษัทที่ดำเนินการกิจการต่อ โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวและกักขังผู้ที่ทำผิดได้จำนวนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 9-25 สิงหาคมที่ผ่านมา โรงแรมและห้องพักต่างๆใน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับอาณาจักรคิงโรมันส์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ต่างมีคนจีนเข้ามาพักจนเต็ม เนื่องจากคนจีนและคนต่างชาติจากคิงส์โรมันได้หลบหนีการปราบปรามและจับกุมมาหลบพักอยู่ฝั่งไทย
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของไทยเปิดเผยว่า การปราบปรามและจับกุมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการทำผิดกฏหมายอื่นๆในฝั่งคิงส์โรมันเป็นความร่วมมือระหว่างทางการจีนและลาวเท่านั้น แม้ทางการไทยจะพยายามขอเข้าร่วมด้วยเพราะมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่เข้าไปทำงานผิดกฏหมาย แต่ได้รับการปฎิเสธ เนื่องจากยังไม่มีการเจรจาในระดับรัฐบาล ที่สำคัญคือทั้งลาวและจีนไม่ต้องการให้ข้อมูลในอาณาจักรคิงส์โรมันหลุดไปยังประเทศที่สาม
ก่อนหน้านี้สำนักข่าว RFA รายงานเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมว่ากองกำลังความมั่นคงของลาวและจีนได้บุกจู่โจมแหล่งแก๊งคอลเซนเตอร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และขีดเส้นตายว่าทุกอย่างต้องยุติในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 สิงหาคม) โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เริ่มปฏิบัติการจนจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 771 ราย
RFA รายงานว่าแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงที่ดำเนินการโดยบุคคลสัญชาติจีนซึ่งพยายามหลอกล่อผู้คนให้ลงทุนมีอยู่ทั่วไปในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และมีคนงานจำนวนมากได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ออกจากพื้นที่ โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงในแขวงบ่อแก้ว เป็นศูนย์กลางการพนันและการท่องเที่ยวที่ให้บริการนักท่องเที่ยวชาวจีน รวมถึงเป็นแหล่งซ่องสุมของอาชญากรรมฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี และกิจกรรมยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย
RFA รายงานว่าคำสั่งปิดเมืองสามเหลี่ยมของรัฐบาลลาวมีขึ้นภายหลังการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ระหว่างเจ้าแขวงบ่อแก้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงความมั่นคงของลาว และจ้าวเหว่ย ประธานเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำโดยเริ่มการบุกจับร่วมกับทางการจีนเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งทางการลาวระบุว่ามีผู้ถูกควบคุมตัวทั้งสิ้น 771 คน เป็นชาวลาว 275 คน พม่า 231 คน และจีน 108 คน นอกจากนี้ยังมีคนสัญชาติอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย อินโดนีเซีย เอธิโอเปีย และเวียดนาม
เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงให้สัมภาษณ์กับ RFA ว่าผู้ที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่เป็นเพียงคนงานที่ถูกจ้างมาทำงานที่ศูนย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการค้ามนุษย์ เนื่องจากเหยื่อถูกหลอกล่อให้มาที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเพื่อทำงานตามร้านค้าหรือร้านอาหาร แต่ต่อมากลับถูกบังคับให้ทำงานเป็นนักต้มตุ๋น
เจ้าหน้าที่แขวงบ่อแก้วซึ่งขอไม่เปิดเผยกล่าวว่า ชาวจีนจำนวนมากที่ถูกจับกุมเป็นคนงานแก๊งคอลเซนเตอร์ “เราได้ส่งมอบชาวจีนทั้งหมดให้กับทางการจีนที่ด่านในแขวงหลวงน้ำทาเมื่อหลายวันก่อน ส่วนชาวต่างชาติอื่นๆ เช่น อินเดียและฟิลิปปินส์ กำลังรอให้สถานทูตมารับตัวไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวลาวที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่จะถูกนำมาอบรม และจะได้รับเงินทุนเริ่มต้นประกอบอาชีพ 1.5 ล้านกีบ และสามารถนำเสนอโครงการอาชีพได้ โดยไม่มีการดำเนินคดี ซึ่งที่ผ่านมาคนลาวที่ทำงานตอบแชทออนไลน์จะมีรายได้สูงกว่าการทำงานบริษัท หรือประกอบอาชีพทั่วไปในประเทศลาวกว่า 3 เท่า และหากสามารถหลอกเหยื่อได้ก็จะมีรายได้มากขึ้น
RFA รายงานว่าโดยทางการยังยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 2,000 ชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์ 709 เครื่องและโทรศัพท์มือถือ 1,896 เครื่อง โดยชาวจีนและอุปกรณ์ทั้งหมดที่ยึดได้จากการบุกจับได้ถูกส่งกลับจีนแล้ว เพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของลาวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน
RFA ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีแก๊งคอลเซนเตอร์มากถึง 400 แห่งที่เปิดดำเนินการในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยมุ่งเป้าไปที่เหยื่อชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้ทางการจีนต้องขอความร่วมมือกับทางการในลาวในการปราบปราม
ขณะเดียวกันสำนักข่าว Bloomberg ได้เผยแพร่รายงานเจาะลึกเรื่องนักธุรกิจชาวจีน (จ้าวเหว่ย-Zhao Wei) ที่นำการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเริ่มด้วยการพนันและตามมาด้วยยาเสพติดและค้ามนุษย์
Bloomberg รายงานมีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจชาวจีนที่ชื่อจ้าวเหว่ย เมื่อมองจากภายนอกจะดูเหมือนเมืองขนาดกลางของจีน มีสนามบินและอาคารผู้โดยสารสูงตระหง่าน ที่จ้าวเหว่ย ให้สัมภาษณ์บนโซเชียลมีเดียของจีนว่าหนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของเขาคือการช่วยเหลือชาวลาวซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังอาคารเหล่านี้ มีเรื่องราวอีกมากมายเกิดขึ้น เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำดำเนินการเป็นเขตปกครองตนเอง และเป็นเวลาเกือบ 10 ปีที่หลายฝ่ายได้เตือนว่าเขตนี้เป็นศูนย์กลางอาชญากรรมต่างๆ ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ตามกฎหมาย โดยในตอนแรกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้ตรวจสอบเขตดังกล่าวระบุว่าหนึ่งในธุรกิจหลักคือการค้ายาเสพติด
ต่อมาได้ขยายขอบเขตไปสู่การเป็นแหล่งอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งคนงานส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ หน่วยงานของสหประชาชาติได้ระบุว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเป็นศูนย์กลางของการฟอกเงิน โดยเชื่อมโยงกลุ่มอาชญากรตั้งแต่ไต้หวันไปจนถึงเมียนมาที่ใช้สกุลเงินดิจิทัล โดยรูปแบบธุรกิจของสามเหลี่ยมทองคำนี้คือการจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจอาชญากรรมสามารถเข้ามา เช่าสถานที่ จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธคุ้มครอง
Bloomberg รายงานอีกว่าในบรรดาองค์กรที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้เป็นองค์กรอาชญากรรม มีเพียงองค์กรของจ้าวเหว่ย เท่านั้นที่เผยแพร่โบรชัวร์สำหรับนักลงทุน อวดอ้างเกี่ยวกับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านบริการสาธารณะ และยังมีแผนในอนาคตบางส่วนสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะขยายตัว เช่น “ฐานอุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้า” และ “นิคมอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่” ซึ่งเอกสารโฆษณาดังกล่าวคาดการณ์ว่าเมืองนี้จะมีประชากร 300,000 คนภายในปี 2026