องค์กรสากลระบุ เมียนมา จีน คีร์กิซสถาน เป็นประเทศรั้งท้ายด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ต เพราะมีการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างเป็นระบบ โดยกรณีของเมียนมาเป็นความถดถอยอย่างมากหากเทียบกับยุคอดีตรัฐบาลพลเรือน ขณะที่ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีเสรีภาพเน็ตสูงสุดในโลก
สำนักข่าว Irrawaddy และ Aljazeera ระบุว่าองค์กร Freedom House ซึ่งรณรงค์ด้านประชาธิปไตย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานด้านเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต (Freedom of the Net หรือ FOTN) ประจำปี 2024 พบว่า เมียนมา จีน และคีร์กิซสถาน ติดกลุ่มประเทศเลวร้ายด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ต โดยได้คะแนน 9 เต็ม 100 จึงติดอันดับรั้งท้ายเมื่อเทียบกับ 72 ประเทศทั่วโลกที่ฟรีดอมเฮาส์สำรวจข้อมูลช่วงปีที่ผ่านมา
กรณีของเมียนมามีการระบุว่าสถานการณ์ด้านเสรีภาพเน็ตเสื่อมถอยอย่างเห็นได้ชัดในเดือนพฤษภาคม 2024 หลังจากรัฐบาลทหารพม่าสั่งระงับบริการ VPN (Virtual Private Network) หรือ เครือข่ายส่วนตัวเสมือน ซึ่งประชาชนจำนวนมากในเมียนมาใช้เพื่อส่งข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ เพื่อความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสารและหลีกเลี่ยงการปิดกั้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
รัฐบาลทหารพม่าออกประกาศดังกล่าวในนามสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อกำกับดูแลและป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลทหารพม่าต้องการควบคุมการแลกเปลี่ยนและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน จึงเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่กว่าสมัยเมียนมาปกครองโดยอดีตรัฐบาลพลเรือนที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อปี 2021
กรณีของจีนมีนโยบายปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศมานานแล้ว และเป็นที่รู้จักดีในนามนโยบาย Great Firewall ทำให้จีนมีเสรีภาพเน็ตรั้งท้ายประเทศอื่นๆ ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ฟรีดอมเฮาส์รวบรวมข้อมูลด้านนี้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทางการจีนได้ยกระดับการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้งานสื่อออนไลน์ของประชาชนเพิ่มขึ้น
รายงานของฟรีดอมเฮาส์อ้างถึงการยกระดับมาตรการปิดกั้นบล็อกหรือเว็บบอร์ด รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล เช่น มาตรการรับมือโควิด-19 และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อเฝ้าระวังการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ของประชาชนโดยเฉพาะ โดยมีการสอดส่องและตรวจสอบแม้กระทั่งการกดไลก์ของผู้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ว่าสิ่งที่แสดงความเห็นชอบนั้นเข้าข่ายการต่อต้านรัฐบาลหรือพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่ ส่งผลให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมากถูกเรียกตัวไปสอบปากคำและถูกระงับบัญชีออนไลน์
อย่างไรก็ดี เหมา หนิง โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงต่อต้านรายงานของฟรีดอมเฮาส์โดยระบุว่าข้อมูลเกี่ยวกับประเทศจีนที่ปรากฏในรายงานดังกล่าว ‘ไม่มีมูลความจริง’ พร้อมย้ำด้วยว่าประชาชนจีนได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพด้านอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดีภายใต้ขอบเขตของกฎหมายในประเทศ
ขณะที่คีร์กิซสถานติดกลุ่มรั้งท้ายเช่นเดียวกับเมียนมาและจีน เพราะเป็นประเทศที่สถานการณ์ด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ตถดถอยมากที่สุดในโลก สืบเนื่องจากประธานาธิบดีซาเดียร์ ยาปารอฟ สั่งปิดเว็บไซต์สื่อออนไลน์ด้านการสืบสวนสอบสวนชื่อว่า Kloop หลังสื่อดังกล่าวรายงานว่าคนในรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้มีการซ้อมทรมานแกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐซึ่งถูกจับกุมในข้อหายุยงปลุกปั่น
นอกจากนี้รายงานของฟรีดอมเฮาส์ยังระบุด้วยว่า 27 ประเทศทั่วโลกมีคะแนนด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ตลดลงเช่นกัน โดยประเทศที่มีสถานการณ์น่าเป็นห่วง คือ อิรักและอาเซอร์ไบจัน เพราะมีผู้ใช้แพลตฟอร์มสื่อโซเชียลตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตและบาดเจ็บ สืบเนื่องจากการแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับกลุ่มผู้สนับสนุนขั้วอำนาจในประเทศ นำไปสู่การใช้ความรุนแรงประทุษร้ายผู้เห็นต่างในโลกความเป็นจริง ส่วนประเทศที่คะแนนด้านเสรีภาพอินเทอร์เน็ตสูงสุดในโลก คือ ไอซ์แลนด์
ทางด้านสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของฟรีดอมเฮาส์ มีคะแนนด้านเสรีภาพเน็ต 76 เต็ม 100 ซึ่งติดกลุ่มเสรีภาพเน็ตค่อนข้างดี แต่พบปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลที่สร้างความเกลียดชังใน 19 รัฐที่อาจส่งผลกระทบต่ออุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024
ขณะที่ประเทศไทยมีคะแนน 39 เต็ม 100 ติดกลุ่ม ‘ไม่มีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต’ หรือ Not Free โดยฟรีดอมเฮาส์ให้เหตุผลว่ามีนักกิจกรรมทางการเมืองถูกจับกุมและลงโทษอย่างรุนแรงด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการแสดงความคิดเห็นในสื่อออนไลน์ ทั้งยังพบกรณีสื่อสาธารณะ ThaiPBS ถูกสถานทูตจีนในไทยกดดันจนต้องถอดบทสัมภาษณ์รัฐมนตรีไต้หวันซึ่งวิจารณ์นโยบายจีนเดียว (One China) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ไม่สามารถยับยั้งการควบรวมกิจการของบริษัทโทรคมนาคมอย่าง 3BB และ AIS ซึ่งถ้าพิจารณาจากกฎหมายสากลจะเห็นว่าเป็นการผูกขาดที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและทางเลือกในการใช้บริการเพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน
อ้างอิง:
Aljazeera, Irrawaddy, Freedom House