เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้ากรณีที่เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ (Civil Society Network for Victim Assistance in Human Trafficking) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และหน่วยงานต่างๆของไทย อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเหยื่อการค้านมนุษย์ 110 คน ที่ถูกมาเฟียจีนบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่าติดกับชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force- BGF) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย(Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) โดยเหยื่อเหล่านี้ถูกกักขังและทรมานอย่างโหดร้าย
ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (The Council of the European Union) อนุมัติมาตรการลงโทษบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่าเพิ่มเติม 4 ราย หลังพบเบาะแสบ่งชี้ว่าผู้ถูกระบุชื่อในมาตรการลงโทษได้รับประโยชน์จากขบวนการข้ามชาติผิดกฎหมายบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่เกี่ยวพันการหลอกลวงเงินและละเมิดสิทธิมนุษยชนคนจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยพ.อ. ซอว์ ชิต ตู่ (Saw Chit Thu) ผู้นำคนปัจจุบันของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force หรือ Karen BGF ) และพ.ท. โมเต ตุน (Mote Thun) ผู้ร่วมก่อตั้ง BGF และดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ BGF ปัจจุบัน พ.ต. ติน วิน (Tin Win) นายทหารคนสนิทของ พ.อ.ซอว์ ชิต ตู่ และเครือบริษัท ซีแอลเอ็ม (CLM Group) หรือ Chit Linn Myaing Group ซึ่งพ.อ.ซอว์ ชิต ตู่ เป็นผู้ก่อตั้งและเคยดำรงตำแหน่งประธานบริหารมาก่อน (อ่านรายละเอียด https://transbordernews.in.th/home/?p=40439 )
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตลาวประจำประเทศไทย ได้รับจดหมายตามที่เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ส่งไปถึงแล้วโดยมีเหยื่อชาวลาว 19 คนกำลังถูกกักขังอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยเมืองเมียวดี ประเทศพม่าและร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเนื่องจากถูกทรมาน โดยสถานทูตรู้สึกยินดีที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้ ทั้งนี้ตัวแทนสถานทูตลาวได้พยายามประสานงานไปหลายๆหน่วยงานแต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะช่วยเหลือเหยื่อเหล่านี้ได้อย่างไร
ในวันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์สตรีรายหนึ่งซึ่งเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ชาวเคนยา ซึ่งถูกหลอกเข้าไปทำงานในแหล่งอาชญากรรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเมย ซึ่งตรงข้ามกับ อ.แม่สอด จ.ตาก ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มจีนเทาและพื้นที่นี้เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวกะเหรี่ยงในนาม BGF (กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง) ซึ่งมี พ.ต. ติน วิน นายทหารคนสนิทของ พ.อ.ซอว์ ชิต ตู่ ผู้นำ BGF เป็นผู้ดูแลและให้การคุ้มครอง
สตรีชาวเคนยาเล่าว่า ได้เห็นโฆษณาเชิญชวนมาทำงานในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการตลาดซึ่งมีรายได้ดี ทำให้สนใจและสมัครเข้ามาทำงานเพราะตนเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการหาเงินเลี้ยงลูก เพราะอยู่ที่เคนยาก็มีปัญหาต่างๆมาก เช่น น้ำท่วม ทำให้การทำมาหากินไม่สะดวก
“ฉันนั่งเครื่องบินจากเคนยามาต่อที่กาตาร์ ก่อนบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็มีคนมารับโดยถือป้ายชื่อ 4 คน เขาเอากระเป๋าขึ้นรถ แล้วพามาอำเภอแม่สอด เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รุ่งเช้ามาก็มีชายอีกคนมารับโดยใช้รถอีกคันหนึ่ง พาไปข้ามแม่น้ำและมีคนรออยู่โดยมีรถอีกคัน แล้วเข้าไปที่แหล่งนี้ พอเข้าสำนักงาน เขาก็ถ่ายรูป เอาพาสปอร์ตไป ฉันถามเขาว่าเอาไปทำไม เขาบอกว่าเมื่อหมดสัญญาจ้างแล้วจะคืนให้”หญิงเคนยากล่าว
เหยื่อชาวเคนยากล่าวว่า เมื่อมาถึงได้เห็นคอมพิวเตอร์ก็รู้แล้วว่าต้องทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แน่นอน โดยมีคนเข้ามาสอนว่าให้ทำอะไรบ้าง เขาบอกให้หาเหยื่อชายฝรั่งผิวขาว ให้ปลอมชื่อเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คอยหาข้อมูลของเหยื่อ ทำให้ตนรู้หมดว่าเหยื่อมีทรัพย์สินอะไรบ้าง เมื่อคุยกันผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ก็หลอกเหยื่อว่าถ้าอยากมีอนาคตด้วยกัน ก็มาลงทุนด้วยกัน ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการหลอกเพื่อให้เหยื่อโอนเงินมา เมื่อผ่านไป 3-4 วันก็ให้โอนอีก จนเหยื่อไม่เหลืออะไรเลย
“งานที่ทำเป็นการหลอกผู้ชายผิวขาว สร้างความสัมพันธ์โดยใช้รูปปลอม หลอกให้ตกหลุมรักแล้วโอนเงิน พอทำไปได้ระยะหนี่ง ฉันบอกเขาว่าไม่อยากทำแล้ว เราขอลาออก แต่บริษัทไม่ให้ออก พยายามหาความช่วยเหลือว่าใครจะมาช่วยได้บ้าง ยังดีว่าบางบริษัทแห่งนี้ไม่ถึงกับโหดร้ายทำร้าย กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเหยื่อ ชาวอเมริกา อังกฤษ บางคนก็เชื่อและโอนให้ บางคนถึงกับขายบ้าน บางคนหมดตัวถึงกับฆ่าตัวตาย มีปัญหาต่างๆเกิดกับเหยื่อมากมาย ฉันไม่อยากเชื่อต้องมาทำงานแบบนี้”เหยื่อชาวเคนยา กล่าว
สตรีชาวเคนยารายนี้กล่าวว่า บริษัทที่ตนทำงานมีเหยื่อที่ถูกหลอกมาทำงานหลายชาติ ทั้งจีน อินเดีย โดยทำอยู่ประมาณ 2 เดือนก็ปิด แล้วสร้างอีกบริษัทหนึ่ง
“บริษัทได้เงินเยอะ หลอกลวงคนมาทำงาน โดยทำงานประมาณ 10-16 ชั่วโมงต่อวัน ต้องออกจากห้องพักมาที่ทำงานของบริษัทตรงตามกำหนดเวลา เขาอนุญาตใช้โทรศัพท์ได้ พวกเขาสามารถแฮคเข้าเฟสของบุคคลต่างๆ ที่มีอยู่จริง เขาไม่ได้สร้างบัญชีขึ้นมาใหม่ ใช้เฟสบุคเหล่านั้นไปหลอกลวงผู้ชายผิวขาว”หญิงชาวเคนยา กล่าว