เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นายซายิด อาลัม ประธานชมรมโรฮิงญาประเทศไทย เปิดเผยว่ารู้สึกยินดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับขบวนการค้ามนุษย์ที่ส่งชาวโรฮิงญาไปประเทศมาเลเซีย แต่เสียชีวิตก่อน 3 รายและถูกนำไปทิ้งในพื้นที่หลัง อ.หลังสวน จ.ชุมพร อย่างไรก็ตามยังรู้สึกเป็นกังวลสำหรับชาวโรฮิงญาที่เหลืออีกกว่า 10 คนที่ถูกนำพาไปพร้อมกัน ทราบว่าขณะนี้บางส่วนถูกคุมขังอยู่และไม่รู้ว่าจะถูกดำเนินการอย่างไรต่อ

“ผมกลัวว่าจะเหมือนชาวโรฮิงญา 700-800 คน ที่ถูกขังจนลืม ขณะนี้มีชาวโรฮิงญา 700-800 คนที่ถูกขังมาแล้ว 7-8 ปีตามคุกต่างๆ ทั้งที่ กทม. สงขลา แม่สอด ชาวโรฮิงญาเหล่านี้ถูกห้ามเยี่ยม ทั้งๆ ที่เขาแค่หลบหนีเข้าเมืองเหมือนกับแรงงานพม่า กัมพูชาและลาว แต่กลับถูกขังลืมและไม่ได้รับการปล่อยตัวเหมือนแรงงาน 3 ประเทศ ทางตำรวจอ้างว่าไม่มีประเทศจะส่งกลับ พูดแบบนี้ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ชาวโรฮิงญาก็มีแผ่นดินอยู่ในพม่า” นายซายิดกล่าว

นายซายิดกล่าวว่า ขณะนี้ขบวนการค้าชาวโรฮิงญากำลังเฟื่องฟูโดยนำพาชาวโรฮิงญาจากฝั่งพม่าข้ามมายังประเทศไทยด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก วันละนับร้อยคนโดยมีเป้าหมายส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้สามารถเอาคนออกจากแม่สอดไปสู่กทม.ได้อย่างไร เพราะแม่สอดมีด่านตรวจระหว่างทางถึง 5 ด่าน

ประธานชมรมโรฮิงญาประเทศไทยกล่าวว่า ที่น่ากังวลใจอีกเรื่องหนึ่งคือมีความพยายามนำชาวโรฮิงญาที่ถูกจับไปส่งบริเวณชายแดนด้านจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่แน่ใจว่าทำไมถึงไปส่งจุดนั้น ที่สำคัญคือเมื่อส่งแล้วชาวโรฮิงญาก็ไม่รู้จะไปไหน เพราะไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถวนั้นเลย ในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และถูกนำกลับเข้ามา กทม.เพื่อจัดส่งไป อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส และส่งต่อไปประเทศมาเลเซียต่อ ซึ่งครั้งหลังนี้ค่าหัวยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้หากรัฐบาลไทยเอาจริงก็น่าจะจัดการได้ไม่ยาก

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ผบก.ปคม.) เปิดเผยว่า ได้นำกำลังจับกุมผู้ต้องหาการค้ามนุษย์ข้ามชาติ 3 คน นำโดย นายสมเกียรติ หรือบังกอล์ฟ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวน ข้อหา “ร่วมกันช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นการจับกุม” โดยจับกุมทั้งหมดได้ในพื้นที่ จ.จันทบุรี และ กทม. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

พล.ต.ต.ศารุติ กล่าวว่าสืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ 2 คน ใช้รถกระบะตู้ทึบลักลอบขนชาวโรฮิงญาเข้าเมืองผิดกฎหมายมาปล่อยทิ้งไว้ จำนวน 26 คน ในพื้นที่ ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร หลังพบว่ามีบางส่วนเริ่มขาดอากาศหายใจ เนื่องจากภายในรถไม่มีช่องระบายกากาศ และในจำนวนนั้นมีผู้เสียชีวิต 3 คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. ได้สืบสวนขยายผลทราบว่า นายสมเกียรติ เป็นหัวหน้าแก๊งคอยรับงานมาจากนายทุนชาวไทย ก่อนสั่งการให้สมุนร่วมขบวนการทำหน้าที่รับชาวโรฮิงญาจากย่านร่มเกล้า กรุงเทพฯ ไปส่งยังพื้นที่ภาคใต้เพื่อหลบหนีเข้าไปในประเทศมาเลเซีย

“นายสมเกียรติ รับสารภาพว่าได้ค่าดำเนินการหัวละกว่า 3,000 บาท และจ้างรุ่นน้องที่เคยขับรถตู้ทึบด้วยกัน วันละ 500-1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือในการหาโรงแรมรายวัน จัดเตรียมที่พักให้กลุ่มคนต่างด้าวโรฮิงญา จากการตรวจสอบพบเงินหมุนเวียนในบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหาหลายสิบล้านบาท”พล.ต.ต.ศารุติ กล่าว

พล.ต.ต.ศารุติ กล่าวด้วยว่า คนร้ายขบวนการนี้เป็นขบวนใหญ่และสำคัญในการพาชาวโรฮิงญาเข้าเมืองไทยเพื่อลงใต้ไปค้าแรงงานที่มาเลเซีย ขณะนี้กำลังสืบสวนขยายผลต่อ เพราะพบว่าทีนายทุนไทยที่อยู่เบื้องหลังอีก และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมด้วยก็จะดำเนินการจับกุมด้วยเช่นกัน

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.