
สำนักข่าว Mizzima รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ว่า สตรีมีครรภ์ประมาณ 3,000 คนในรัฐคะเรนนีกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงบริการการคลอดบุตรและการดูแลสุขภาพหลังคลอด ตามรายงานของฝ่ายกิจการสตรีและเด็ก ภายใต้สภาบริหารชั่วคราวรัฐคะเรนนี (Karenni State Interim Executive Council – IEC)ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ รายงานซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เน้นย้ำว่าขณะนี้สตรีมีครรภ์ 740 คนอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นภายใน(IDP)ในรัฐคะเรนนี จากทั้งหมดประมาณ 3,000 คนทั่วทั้งรัฐ กำลังเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เช่น โภชนาการที่ไม่เพียงพอ การเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่จำกัด และความยากลำบากในการคมนาคม รวมไปถึงความปลอดภัยอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง สงครามที่ยังคงดำเนินอยู่
‘มอ เพร หม่า’ ผู้นำองค์กรสตรีแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Women’s Organization – KNWO) ตั้งข้อสังเกตว่าความท้าทายเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งแม่และทารกแรกเกิดบางส่วนต้องเสียชีวิต
รายงานยังระบุถึงปัญหาเพิ่มเติมที่เกิดจากความตระหนักรู้ที่จำกัดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน การคุมกำเนิด และสุขภาพด้านเจริญพันธุ์ในกลุ่มสตรี
“ทารกบางคนเกิดมาพร้อมกับอาการตัวเหลือง แต่บ่อยครั้งที่อาการนี้มักไม่ปรากฏให้เห็น จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากการรักษาที่ล่าช้า” มอ เพร หม่า กล่าว นอกจากนี้ เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงในรัฐคะเรนนียังไม่สามารถเข้าถึงยาคุมกำเนิด ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน และยังเผชิญหับปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศ แม้ว่า ผู้หญิงในพื้นที่จะได้รับบริการด้านการแพทย์บางส่วนจากกองทัพปฏิวัติฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่า และกรมอนามัยของ IEC แต่ในรายงานก็ออกมายอมรับว่า การสนับสนุนด้านการให้บริการด้านสุขภาพนั้นยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของสตรีมีครรภ์ในพื้นที่
นอกเหนือจากสตรีมีครรภ์ประมาณ 3,000 คนแล้ว ข้อมูลของ IEC ยังระบุว่ามีสตรีพลัดถิ่นในรัฐคะเรนนีประมาณ 20,000 คน และสตรีจำนวนมากยังต้องเผชิญกับปัญหาอนามัยเจรัญพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานก่อนวัยอันควร การเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่ไม่ดี และทรัพยากรทางการเงินที่จำกัด
รายงานของ IEC เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยการปรับปรุงการเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขอนามัยส่วนบุคคลและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพด้านเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กสาววัยรุ่นและสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยฝ่ายกิจการสตรีและเด็กมีแผนที่จะพัฒนาโครงการเพื่อจัดหาอาหารเสริมที่จำเป็นและบริการดูแลสุขภาพสำหรับสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร และยังได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกันเพื่อให้แน่ใจว่าสตรีเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนที่จำเป็น
ขณะที่สงครามในรัฐคะเรนนี ก็ยังคงดำเนินต่อไป ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า กองกำลังป้องกันแห่งชาติคะเรนนี (The Karenni Nationalities Defense Force – KNDF) และพันธมิตรอย่างกองทัพคะเรนนี (the Karenni Army – KA) ภายใต้พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party-KNPP) รวมถึงกองกำลังป้องกันแห่งชาติปะโอ (Pa-O National Defense Force – PNDF) ได้ซุ่มโจมตีทหารพม่าจากกองพันที่ 80 สังกัดกองพลทหารราบเบาที่ 66 ซึ่งเดินทางมาจากเมืองปาย ทางภาคใต้ของรัฐฉาน เสียชีวิตมากกว่า 30 นาย และบางส่วนได้หลบหนีไป
ทั้งนี้ทหารพม่ากองพันนี้ ประกอบด้วยกำลังพลทหารราว 80 – 100 นาย ขณะที่ทหารพม่าที่ประจำอยู่ในเมืองลอยก่อ เมืองหลวงของรัฐคะเรนนีพยายามที่จะช่วยเหลือทหารภาคพื้นดินด้วยการยิงปืนใหญ่แต่ก็ไม่เป็นผล
ฝ่าย KNDF เปิดเผยว่า การปะทะกันยังคงดำเนินไป เนื่องจากทหารพม่านอกเมืองหลอยก่อพยายามเข้าถึงพื้นที่ควบคุมของฝ่ายต่อต้าน แม้ทางกองทัพฝ่ายต่อต้านจะสามารถเอาชนะทหารพม่าจากกองพันที่ 80 ในครั้งนี้ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถยึดเมืองหลอยก่อ เมืองหลวงของรัฐคะเรนนีได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐคะเรนนีขณะนี้อยู่ภายใต้กองทัพฝ่ายต่อต้านแล้ว