Search

นักวิชาการ-ผู้ประกอบการหวั่นต่อทะเบียนแรงงานข้ามชาติไม่ทันกำหนด-เสี่ยงหลุดจากระบบแนะเปลี่ยนรูปแบบ MOU เป็น One Stop Service

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กทม. เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ร่วมกับ กลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานสีขาว (GEFW) จัดเวทีเสวนา “ชำแหละมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กันยายน 2567 การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ” เพื่อให้เกิดแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดแรงงานข้ามชาติในกลุ่มที่จะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 โดยเฉพาะกลุ่มที่จะสิ้นสุดการอนุญาตทำงานในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่จะต้องดำเนินการในรูปแบบ MOU แต่ยังมีข้อกังวลใจและข้อจำกัด ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร. จิราภร เหล่า เจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานMWG กล่าวว่า มติ ครม. เมื่อ 24 กันยายน 2567 มี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) การจดทะเบียนแรงงานใหม่จากพม่า กัมพูชา และเวียดนาม รวมถึงแรงงานที่หลุดจากระบบ 2) การต่ออายุแรงงานจนถึง 13 กุมภาพันธ์ 2568 3) การขยายระยะเวลาเปลี่ยนแปลงนายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60-90 วัน 4) การยกเว้นการแจ้งเข้าทำงานสำหรับแรงงานที่ขออนุญาตทำงานครั้งแรก ประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือการต่ออายุแรงงาน ซึ่งมติ ครม. จะใช้แนวทางกึ่ง MOU ต้องประสานงานกับประเทศต้นทาง แตกต่างจากระบบเดิมที่ดำเนินการภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานทีอาจถูกปฏิเสธจากประเทศต้นทาง

“จำนวนแรงงานที่ต้องดำเนินการในครั้งนี้มีประมาณ 2 ล้านคน โดยแรงงานจากพม่าและกัมพูชามีจำนวนมากที่สุด ขณะที่แรงงานจากเวียดนามและลาวยังอยู่ระหว่างการเจรจา ข้อกังวลที่สำคัญคือจะสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นตามกำหนดหรือไม่ เพราะหากพลาดกำหนดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 จะส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เกิดความเสี่ยงจากแรงงานที่หลบหนีการเกณฑ์ทหารในพม่า โดยเฉพาะกลุ่มชายที่อายุ 23-31 ปี ซึ่งมีประมาณ 14 ล้านคนในพม่า คาดว่า 10% หรือประมาณ 400,000 คน อาจหลบหนีเข้ามาทำงานในไทย ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการแรงงานข้ามชาติและอาจสร้างความเสี่ยงให้กับระบบ”นายอดิศรกล่าว

ขณะที่ นายจำนงค์ ทรงเคารพ ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การต่ออายุใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวที่ครบกำหนดในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นขั้นตอนสำคัญในการให้แรงงานต่างด้าวอยู่ต่ออย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว นายจ้างสามารถดำเนินการเองหรือมอบหมายให้บริษัทที่ได้รับอนุญาตดำเนินการแทนได้

“สำหรับแรงงานจากเมียนมาร์ที่ไม่สะดวกเดินทางกลับ สามารถขออนุญาตทำงานผ่านสำนักงานแรงงานในไทย โดยไม่ต้องไปที่สถานทูต การดำเนินการตามข้อตกลง MOU ระหว่างไทยและประเทศต้นทาง จะช่วยให้การจัดการแรงงานต่างด้าวมีระเบียบและปลอดภัย โดยแรงงานสามารถทำงานได้ 2 ปี พร้อมต่ออายุได้อีก 2 ปี” นายจำนงค์กล่าว

ด้านนายอรรถพันธ์ มาศรังสรรค์ ที่ปรึกษาด้านแรงงานสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย กล่าวว่า ในอุตสาหกรรมทูน่ามีการจ้างแรงงานถึง 70,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติจากพม่า (70%) และคนไทย (30%) การที่คนไทยไม่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้เนื่องจากลักษณะงานที่เป็น ‘3D’ (Difficult, Dirty, Dangerous) แม้ในอดีตการนำเข้าแรงงานข้ามชาติจะไม่มีระบบกฎหมายที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานต่างด้าวที่เข้มงวดขึ้น

“การจดทะเบียนแรงงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา เรายินดีที่รัฐบาลเตรียมการไว้ดี แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของระบบคอมพิวเตอร์ในการรองรับการลงทะเบียนแรงงานจำนวนมากภายในเวลาจำกัด โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาการล่มของระบบ ขอให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น และพัฒนาระบบที่รองรับการดำเนินการทันเวลา เพื่อให้แรงงานข้ามชาติสามารถทำงานได้ถูกต้องและมีคุณภาพชีวิตที่ดี การใช้ Big Data ในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในอนาคตอาจช่วยปรับปรุงระบบการจัดการให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน”นายอรรถพันธ์กล่าว

ขณะที่นางนิลุบล พงษ์พยอม ผู้แทนกลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าว กล่าวว่าการดำเนินการตามมติ ครม. ที่กำหนดให้แรงงานต่างด้าวต่ออายุใบอนุญาต โดยระบุว่า มีแรงงานประมาณ 2.39 ล้านคนจากพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ต้องดำเนินการภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านระบบออนไลน์ของกรมการจัดหางาน ก่อนส่งเอกสารไปพิจารณาที่กระทรวงแรงงาน การดำเนินการประกอบด้วยการตรวจสุขภาพ, ซื้อประกันสุขภาพ และขอวีซ่าทำงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SME และร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งภาคเหนือ ใต้ และกลาง กังวลเรื่องการเดินทางไปยังสถานที่จัดหางานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

“ขั้นตอนการดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานยังคงซับซ้อน โดยเฉพาะการตรวจสอบและชำระภาษีที่นายจ้างต้องรับผิดชอบ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2,400 บาทต่อแรงงาน หากยังไม่ได้ชำระภาษี นอกจากนี้นายจ้างในพื้นที่น้ำท่วมและดินสไลด์ประสบปัญหาการเดินทางไปยื่นเอกสารที่สถานทูต ซึ่งมีผลต่อการเข้าคิวที่ไม่เป็นระเบียบและระบบออนไลน์ที่ใช้ไม่ได้ จึงเสนอให้กระทรวงแรงงานปรับปรุงระบบออนไลน์และบริการแบบ One Stop Service เพื่อลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและอำนวยความสะดวกให้สามารถดำเนินการเสร็จสิ้นในที่เดียว” นางนิลุบลกล่าว

ด้าน ร.ศ.ดร.กิริยา กุลกลการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ปกติ อาจทำให้แรงงานต่างด้าวกังวลเรื่องความปลอดภัยและความไม่แน่นอน จึงต้องพิจารณาว่าควรดำเนินการตามหลักการนี้ในเวลานี้หรือไม่ หากกระทรวงแรงงานยืนยันที่จะดำเนินการ อาจจำเป็นต้องขยายเวลาหรือปรับแผนให้ทุกฝ่ายสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติควรมีขอบเขตและมาตรการที่ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาสังคมและไม่กระทบเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะในภาวะน้ำท่วมและปัญหาทางเศรษฐกิจอื่นๆ การดำเนินการต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งด้านการจัดการแรงงานและเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า ความเหมาะสมในการใช้ระบบ MOU ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความท้าทายทั้งภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ความไม่สงบในเมียนมาร์ การเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นปัญหาทั่วโลก ดังนั้น กระบวนการขึ้นทะเบียนควรจะถูกต้อง รวดเร็ว และง่าย ซึ่งแตกต่างจากระบบปัจจุบันที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง แม้ MOU จะเป็นแนวทางที่ดี แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจไม่สามารถใช้ได้ง่าย จึงเสนอให้ไทยดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวด้วยตัวเองผ่านระบบ One Stop Service เพื่อลดปัญหาจากการพึ่งพาบริษัทจัดหางานที่มักมีปัญหาทางกฎหมายและความโปร่งใส

“ประเด็นด้านประกันสุขภาพ แรงงานข้ามชาติควรเข้าร่วมระบบประกันสังคมของรัฐ เพื่อความมั่นคงทั้งในด้านสุขภาพและความปลอดภัย ข้อมูลสุขภาพของแรงงานต่างด้าวไม่ควรอยู่ในมือของเอกชน แต่ควรได้รับการดูแลภายใต้ระบบประกันสังคม และเสนอให้กระจายอำนาจการขึ้นทะเบียนไปยังระดับท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ท้องถิ่นจะสามารถเก็บข้อมูลและจัดการแรงงานในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่รัฐส่วนกลางจะทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมข้อมูลผ่านระบบฐานข้อมูลกลาง เมื่อสถานการณ์ในเมียนมาร์ดีขึ้น จึงสามารถนำไปสู่การดำเนินการ MOU แบบรัฐต่อรัฐ (G2G) เพื่อให้การจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นไปอย่างมีระเบียบและมีประสิทธิภาพ”นายสหัสวัตกล่าว

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →