
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ไปลงพื้นที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อสำรวจข้อเท็จจริงในบริเวณใกล้ดอยหัวม้าและหนองหลวง ซึ่งเกิดข้อพิพาทกรณีที่ทหารของกองทัพแห่งสหรัฐว้า (United Wa State Army -UWSA)รุกล้ำดินแดนประเทศไทย โดยพบว่าบริเวณหนองหลวงซึ่งอยู่ต่ำกว่าสันดอยซึ่งเป็นเส้นเขตแดนมาราว 1-2 กม.และมีฐานทหารว่า 2-3 แห่งตั้งอยู่
“บริเวณนี้ชัดเจนว่าทหารว้าเข้ามาตั้งฐานอยู่ในดินแดนไทยล้ำเข้ามา 1-2 กม. ตรงนี้เป็นพื้นที่ลาดต่ำลงมาและมีหนองหลวง เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องเข้าไปดำเนินการทันที ต้องบังคับใช้กฎหมายอาญา เพื่อไม่ให้ดินแดนตรงนี้ตกเป็นของรัฐต่างประเทศ”นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา กล่าว
รศ.ดุลยภาคกล่าวว่า จากการสอบถามคนในพื้นที่โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือกลุ่มแรกเป็นเจ้าหน้าที่ที่รักษาดินแดนมานาน เช่น อาสาสมัครรักษาดินแดน ตำรวจซึ่งบางคนเคยเข้าไปทลายโรงงานยาเสพติดในบริเวณนี้มาแล้วเมื่อปี 2540 ซึ่งได้ยืนยันตรงกันว่า พื้นที่บริเวณหนองหลวงมีการรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยชัดเจน ส่วนกลุ่มที่ 2 ได้คุยกับกำลังพลของกองทัพภาค 3 ซึ่งมีท่าทียอมรับว่าหลายจุดยังมีการปักหลักเขตแดนไม่ชัดเจนและต้องการปัญหาโดยคณะกรรมการร่วมของ 2 ประเทศ
รศ.ดุลยภาพกล่าว่า กลุ่มสุดท้ายได้คุยกับชาวบ้านซึ่งมีไม่กี่หลังคาเรือนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มูเซอแดง โดยชาวบ้านบอกว่า บริเวณที่เป็นสันเขาที่เป็นเขตแดนและมีลำน้ำลางไหลจากทิศตะวันตกไปตะวันออกโดยสมัยก่อนชาวบ้านสามารถข้ามไปหาของป่าได้ แต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ชาวบ้านไม่กล้าข้ามไปแล้วเพราะมีการลาดตะเวนของทหารว้า และทหารว้าได้เตือนชาวบ้านไม่ให้ข้ามพ้นลำน้ำลางขึ้นไป ซึ่งเป็นจุดที่น่าวิเคราะห์ว่ามีการขยับพื้นที่ของทหารว้าใต้ลงมาแถบนี้หรือไม่ เพราะมีความต้องการใช้เส้นลำน้ำลางเป็นเส้นแบ่งแดนใหม่ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่กระทบอธิปไตยของไทยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวถามว่าบริเวณนี้ใช่เป็นพื้นที่ที่กองกำลังเมืองไตของขุนส่งเคยประจำอยู่หรือไม่ รศ.ดุลยภาคกล่าวว่า จุดที่เป็นฐานทหารว้านับตั้งแต่ดอยหัวม้า จ.แม่ฮ่องสอน จนถึงเชียงใหม่เป็นฐานทหารเดิมของกองกำลังของขุนส่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการหารือกันในคณะกรรมการชายแดนของไทยและพม่า แต่บริเวณหนองหลวงเป็นฐานทหารว้าที่รุกล้ำเข้ามาซึ่งฐานเดิมของกองกำลังขุนส่าไม่ได้ตั้งบริเวณนี้
“บริเวณหนองหลวงผมได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในพื้นที่ว่าขุนส่าไม่ได้ตั้งฐานอยู่บริเวณนี้ แต่ฐานทหารขุนส่าตั้งอยู่บนสันเขา ตั้งแต่ต้นปี 2567 ทหารว้าได้ขยับลงมาและลาดตระเวนเป็นวงกว้างตามแนวแม่น้ำลาง การที่เขาวางฐานทหารไว้บริเวณหนองหลวง เราสันนิฐานว่าเขาต้องการใช้น้ำไปหล่อเลี้ยงกำลังพล หรือจะนำไปใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ อย่างไร หนองหลวงเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีธรรมชาติสมบูรณ์มาก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ทราบดี”นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา กล่าว
รศ.ดุลยภาคกล่าวว่า ส่วนดอยหัวม้าที่มีฐานทหารว้าอยู่นั้น เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำลาง ดังนั้นเห็นได้ว่าจุดที่ว้าตั้งฐานทหารมีความสัมพันธ์กับต้นน้ำซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในทางยุทธศาสตร์ แต่เมื่อมีการล้ำเข้ามาดินแดนไทยก็ต้องดำเนินการ
“เท่าที่เราเห็น 8-9 ฐานทหารว้าที่ต้องอยู่แนวสันเขา มีอย่างน้อย 2 ฐานที่ล้ำเข้ามาในไทย เราก็ต้องบังคับใช้กฏหมายอาญา เช่นเดียวกับที่ทหารพม่าบังคับใช้กฎหมายกับเรือประมงไทยที่ จ.ระนอง แม้ยังไม่รู้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ แต่พม่าได้ใช้กฎหมายอาญาเข้ามตัดสินจำคุกเรียบร้อยแล้ว จุดนี้เราเห็นว้าได้บุกรุกเข้ามาดินแดนไทยชัดเจน เราคงไม่ต้องไปถามจีนหรือถามพม่า ว่าพื้นที่นี้เป็นของเราหรือไม่ แต่ควรบังคับใช้กฏหมายอาญาได้เลย มันเป็นพื้นที่ในราชอาณาจักรไทย เป็นการบุกรุกอธิปไตยของไทย”รศ.ดุลยภาค กล่าว
นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา กล่าวว่า อยากให้ข้อสังเกตไว้ มีวิธีการดูเส้นเขตแดน โดยยึดปฏิญญา 1894 ที่เป็นการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับข้าหลวงอังกฤษ โดยมีแผนที่แนบท้าย 3 ระวางที่ระบุการปักปันเขตแดนไปตามสันเขาถนนธงชัยและสันเขาแดนลาว คือพื้นที่ตั้งแต่แม่ฮ่องสอน ไปจนถึงเชียงใหม่และเชียงราย โดยแผนที่ 3 ระวาง ถ้าเอามาเทียบกับแผนที่ที่ไทยหรือพม่าใช้และตรวจสอบกับภูมิประเทศจริงก็จะมีความชัดเจนขึ้น
“เมื่อตรวจจากหลักฐานแล้ว ดอยอื่นๆอยู่บนสันเขาซึ่งไม่ชัดว่าล้ำแดนไทยอย่างโจ่งแจ้ง ต้องเข้าไปหารือกันในคณะกรรมการชายแดนของทั้ง 2 ประเทศเพื่อแก้ปัญหา แต่จุดของหนองหลวงกลับลงมาจากสันเขา 1-2 กม.ซึ่งชัดเจนว่าล้ำเข้ามาประเทศไทย ตอนนี้ชาวบ้านก็ยังใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เพียงแต่เส้นทางบางเส้นทางถูกจำกัด และทราบมาว่าขณะนี้ได้มีการซ้อมแผนอพยพกันบ้างแล้ว เป็นคำสั่งของอำเภอปางมะผ้า เพื่อระมัดระวัง หากมีการปะทะกันอาจมีกระสุนมาถึงหมู่บ้านได้”รศ.ดุลยภาค กล่าว
เมื่อถามอีกว่าการเร่งรัดให้รัฐบาลเข้าไปผลักดันทหารว้าออกจากพื้นที่เท่ากับเป็นการเร่งสนับสนุนให้เกิดการสู้รบหรือไม่ รศ.ดุลยภาคกล่าวว่า ควรเอาความจริงเชิงประจักษ์ในพื้นที่มาว่ากันอย่างเป็นกลางด้วยความสุจริตใจ ซึ่งแยกเป็น 2 กรณีคือจุดที่เป็นข้อพิพาทที่อยู่บนสันเขาหรือเส้นเขตแดน ควรใช้การเจรจาและกลไกร่วมของคณะกรรมการเขตแดนทั้ง 2 ประเทศเพื่อให้ปักหลักเขตแดนให้ชัด แต่จุดที่มีการบุกรุกเข้ามาในไทยชัดเจน เช่น หนองหลวง ก็เป็นหน้าที่ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบังคับใช้กฏหมายอาญาผลักดันกองกำลังที่รุกล้ำให้ออกไป
“ผมคิดว่าไม่มีประเทศใดในโลกไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย ประเทศที่มีอำนาจมากหรือมีอำนาจน้อย เมื่อมีการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามาก็ต้องผลักดันออกไปให้เร็วที่สุด แต่ทำไมของประเทศไทยถึงปล่อยมาเนิ่นนานขนาดนี้ วันนี้เรามีข้อมูลการล้ำแดนชัดเจน แต่กลับยังไม่มีปฎิกริยาใดๆแสดงออกมาให้เห็นว่าประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตย ซึ่งเป็นท่าทีทีแตกต่างกับกรณีที่ทหารพม่าทำกับลูกเรือประมงไทยมาก”รศ.ดุลยภาค กล่าว
ขณะที่สำนักข่าว VOA Burmese และ Mizzima News รายงานเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมาโดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของอู นี รัม (U Nyi Ram) โฆษกกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งระบุว่าตัวแทนของกองทัพว้าได้พูดคุยกับตัวแทนกองทัพไทยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ในประเด็นความมั่นคงบริเวณชายแดน และย้ำว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจกันดี แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามรายละเอียดการพูดคุย โฆษกของกองทัพว้าแดงระบุว่าไม่สามารถเปิดเผยได้
———–