Search

ยุทธศาสตร์ใหม่ของ KNU ประสานความร่วมมือ-ยกระดับองค์กร

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายซอ ก่าปิ (Saw Kapi) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองการปกครองรัฐกะเหรี่ยง และผู้ก่อตั้งสำนักวิชาธรรมาภิบาลและการบริหารรัฐกิจ (School of Governance and Public Administration)ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้านวิชาการของชาวกะเหรี่ยง ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงและพิจารณาแนวทางปรับปรุงการกำกับดูแลชายแดน โดยมีเนื้อหาสำคัญที่น่าสนใจว่า สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union -KNU) ซึ่งเป็นองค์กรกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดแห่งหนึ่งของพม่า เป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้เพื่อเอกราชและสิทธิของชาวกะเหรี่ยง

บทความระบุว่า KNU ที่ควบคุมพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า กำลังเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญที่ต้องสำรวจกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการชายแดนและมีส่วนสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงที่ซับซ้อนของภูมิภาค หลังจากการประชุมสมัชชาครั้งที่ 17 ในปี 2023 โดย KNU ได้ผ่านมติเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการบริหารจัดการในทุกระดับ ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความสามารถในการบริหารจัดการ ต่อมาในปี 2024 KNU ได้เผยแพร่คู่มือการบริหารจัดการและการบริหารรัฐกิจเป็นครั้งแรก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสามารถในการบริหารจัดการให้กับเจ้าหน้าที่ โดยมีการอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับอำเภอ และมุ่งเน้นการปรับปรุงการบริหารจัดการตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศไทย

พื้นที่ชายแดนไทย-พม่าที่มีความยาว 2,416 กม. มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจสังคมอย่างมาก ชายแดนภูเขาสูงนี้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้า การอพยพ และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ขณะเดียวกันก็มีความท้าทาย เช่น การค้าผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ดังนั้นการปกครองที่มีประสิทธิภาพจึงมีความจำเป็น ไม่เพียงแต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนกะเหรี่ยงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่กว้างขึ้นของ KNU ด้วย

“อำนาจในการบริหารและวิสัยทัศน์ของเราในการกำหนดชะตากรรมของตนเองภายในกรอบประชาธิปไตยระดับสหพันธรัฐในอนาคตขึ้นอยู่กับการเสริมสร้างการปกครองชายแดนอย่างมาก” บทความอ้างคำพูดของนายพะโด่ซอตอนี โฆษกของ KNU

บทความระบุว่า KNU ตระหนักดีถึงความท้าทายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งต้องการแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและเชิงรุก ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องกับกองทัพพม่าก่อให้เกิดภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่ชายแดนไม่มั่นคง และการบริหารจัดการมีความซับซ้อน การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญต่อการปกป้องประชากรในพื้นที่และรักษาอำนาจการบริหาร และข้องเกี่ยวกับประเด็นมนุษยธรรมอีกด้วย

“นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ผู้พลัดถิ่นหลายหมื่นคนได้หลบหนีออกจากเมืองและชุมชนในพม่า จำนวนมากแสวงหาที่หลบภัยในประเทศไทย หรืออยู่ในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของ KNU ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ของผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงจำเป็นต้องปรับปรุงนโยบายการย้ายถิ่นฐาน กรอบกฎหมาย และการคุ้มครองกลุ่มเปราะบางอย่างเร่งด่วน หากไม่มีมาตรการเหล่านี้ สถานการณ์ของผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจะเลวร้ายลง” บทความระบุ

ผู้เชี่ยวชาญกะเหรี่ยงระบุต่อไปว่า ในทางเศรษฐกิจ พื้นที่ชายแดนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับการค้าข้ามพรมแดน ทั้งสินค้า ผลผลิตทางการเกษตร และทรัพยากรธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการทหารที่ยังคงดำเนินอยู่และระบบการกำกับดูแลที่อ่อนแอได้ทำให้การลักลอบขนของและการแสวงประโยชน์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว KNU ต้องเสียแหล่งรายได้จากการจัดเก็บภาษี ซึ่งกระทบต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่ดังกล่าว

บทความอ้างคำพูดของนายพะโด่เกว ทู วิน ประธาน KNU ที่ได้อธิบายระหว่างการประชุมวางแผนเชิงกลยุทธ์ล่าสุดว่า “บริการด้านการดูแลสุขภาพที่ไม่เพียงพอและโอกาสทางการศึกษาที่จำกัดยิ่งทำให้ชุมชนชาวกะเหรี่ยงของเราต้องประสบความยากลำบากมากขึ้น และการแก้ไขช่องว่างในระบบเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการส่งเสริมการพัฒนาที่เป็นธรรมและมีเสถียรภาพ”

บทความระบุว่า KNU ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการการพัฒนานโยบายและการปกครองข้ามพรมแดนหลายครั้งผ่านคณะกรรมการเสริมสร้างศักยภาพการปกครอง Governance Capacity Strengthening Committee เพื่อผลิตนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมการค้าข้ามพรมแดน การโยกย้ายถิ่นฐาน และการเก็บภาษี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KNU ในการพัฒนานโยบายการปกครองที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ KNU ยังได้แสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มติดอาวุธกะเหรี่ยงอื่นๆ เช่น กองทัพกะเหรี่ยง DKBA (Democratic Karen Benevolent Army) และ KNU/KNLA Peace Council

“ความเคารพและความร่วมมือซึ่งกลยุทธ์หลักของ KNU โดยการมีส่วนร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศและประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน KNU ได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปรับนโยบายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็สร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค KNU หวังว่าความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชายแดน พิธีการเข้าเมืองที่ดีขึ้น และการประสานงานเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ

“เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว สหภาพตำรวจแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNPF) จะต้องปรับปรุงกองกำลัง จัดตั้งหน่วยตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรและระบบที่เกี่ยวข้อง ความปลอดภัยและสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวกะเหรี่ยงยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การเสริมสร้างการประสานงานระหว่างกองกำลัง KNLA และกองทัพบกไทยถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการรักษาเสถียรภาพและปกป้องผลประโยชน์ของชุมชน

“หลังจากยึดฐานทัพของกองทัพพม่าทั้งหมดตามแนวชายแดนได้ ตั้งแต่ฐานที่ริมแม่น้ำสาละวิน ซอแลท่า (ตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน) ในปี 2021 ฐานแม่คาท่า (ตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน) เรื่อยมาจนล่าสุดคือฐานมาเนอปลอว์ ซึ่งเป็นที่มั่นเดิมของ KNU ที่ตรงข้าม อ.ท่าสองยาง จ.ตาก KNU ตระหนักดีว่าการหารือใกล้ชิดและมาตรการสร้างความไว้วางใจกับทางการไทยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ จะเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขข้อกังวลร่วมกันและส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดนที่ถูกต้องตามกฎหมาย

KNU ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาด้านการพัฒนา การเป็นพันธมิตรกับองค์กรภาคประชาสังคมและนานาชาติเป็นส่วนเสริมที่สำคัญ โดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านสุขภาพ การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานขั้นพื้นฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าชุมชนที่ถูกละเลยจะได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนามีส่วนร่วม ซึ่งปัจจุบันองค์ภาคประชาสังคมที่ไม่ได้เปิดเผยกำลังทำงานร่วมกับ KNU โดยตรงในโครงการด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาข้ามพรมแดน สถานทูตบางแห่งยังสนับสนุนความพยายามในการเสริมสร้างศักยภาพการบริหารและการบริหารรัฐกิจอีกด้วย

แนวคิดริเริ่มของ KNU ในการปรับปรุงการบริหารชายแดนเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวสำหรับแผ่นดินกอทูเล “ Kawthoolei” ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของชาวกะเหรี่ยง เพื่อเสริมสร้างการบริหารของชาวกะเหรี่ยงและบทบาทในพม่าที่พัฒนาไปเป็นประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐและสร้างสันติภาพ ซึ่ง KNU จะสามารถเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศไทยจากพื้นที่สู้รบให้กลายเป็นพื้นที่ของความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน

———-

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →