
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เฟสบุคถึงปัญหาแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยฝั่งเมืองเมียวดีประเทศพม่า ซึ่งมาเฟียจีนได้หลอกลวงชาวต่างชาติจำนวนมากผ่านประเทศไทยไปกักขังและบังคับให้เป็นสแกมเมอร์ ว่าสแกมเมอร์นั้นเป็นเครือข่ายธุรกิจ หรือเศรษฐกิจประเภทหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าทุนนิยมนักล่า/ทุนนิยมหลอกลวง ( predatory capitalism) ดำเนินกิจการผ่านองค์ประกอบสำคัญ 4 ประเภท
ศ.ปิ่นแก้วระบุว่า ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ สร้างวงจรที่เชื่อมต่อกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวงจรเดียวกัน ของอาชญากรรม 4 ลักษณะ ได้แก่ วงจรของการค้ามนุษย์ วงจรของการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล วงจรของการล่อลวงธุรกรรมออนไลน์ และวงจรการฟอกเงิน วงจรเหล่านี้ดำเนินการผ่านเครือข่ายหลายชนิด ที่มีทั้งไทย และเมืองชายแดนไทย-เมียนมาร์ เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ การจะทลายอาชญากรรมข้ามชาติสแกมเมอร์หรือแก๊งค์คอลเซนเตอร์ได้ รัฐไทยต้องตัดวงจรทั้ง 4 นี้ ไม่ให้สามารถปฏิบัติการได้ ไม่ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้
ศ.ปิ่นแก้วระบุว่าที่ผ่านมา วงจรอาชญากรรมเหล่านี้ ดำเนินไปได้ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1. อำนาจและอิทธิพลของนักการเมืองและข้าราชการไทย ทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ ที่ให้การคุ้มครอง ผ่านระบบส่วยและสินบน 2. ระบอบ disaggregated sovereignty หรืออธิปไตยแยกส่วน ที่รัฐพม่าส่วนกลาง แบ่ง/ถ่ายอำนาจอธิปไตยให้กลุ่มกองกำลังชนกลุ่มน้อยในการดูแลชายแดน เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์หลายประเภท พื้นที่ชายแดน ที่เป็นที่ตั้งของเมืองสแกมเมอร์ จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ หรือกฎหมายของรัฐส่วนกลาง แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกองกำลังกะเหรี่ยงชายแดน 3. การสนับสนุนการเติบโตของเมืองสแกมเมอร์ในชายแดน โดยภาคธุรกิจและรัฐท้องถิ่นในเมืองแม่สอด และ 4. การทำงานของรัฐไทยที่หย่อนยาน อ่อนแอ ทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย และมาตรการ ขาดแผนมุ่งเป้าที่ชัดเจน ครอบคลุม และเป็นระบบ ขาดองค์กรที่เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการงานปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ขาดมาตรการที่บังคับให้ธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะธนาคาร และโทรคมนาคม ร่วมรับผิดชอบในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์
“ถ้ารัฐไทยมีความจริงจังในการปราบปรามอุตสาหกรรมสแกมเมอร์จริง ไม่ใช่เพียงต้องการกู้ภาพลักษณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อมีข่าวขึ้นมา มีความจำเป็นต้องมีการวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบเพื่อถอนรากถอนโคนเครือข่ายอุตสาหกรรมนี้ เพื่อไม่ให้สามารถใช้ไทย และชายแดนไทย-เมียนมาร์เป็นฐานปฏิบัติการได้อีกต่อไป โดยทลายวงจรอาชญากรรม 4 ประเภทลงให้ได้ ดิฉันมีข้อเสนอ” อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาฯระบุ
ศ.ปิ่นแก้วระบุว่า 1.ในแง่องค์กร มีความจำเป็นต้องมีคณะกรรมการเฉพาะที่มี mission ในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์โดยเฉพาะ ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้เข้าด้วยทั้งรัฐและเอกชน ที่สำคัญคือกองทัพ ควรมีบทบาทในเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน ที่ผ่านมายังไม่เห็นว่ากองทัพไทย มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นระบบ ในการจัดการกับปัญหาแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ที่ฉวยใช้ประโยชน์จากพรมแดนไทยแต่อย่างใด
2.ปฏิรูปกฎหมาย และมาตรการควบคุมที่ทำให้การลงโทษ และความรับผิดชอบ มีอัตราที่สูงกว่าแรงจูงใจด้านการเงิน และทำให้ภาคเอกชนต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลักภาระการป้องกันตนเองไปให้ประชาชนเพียงถ่ายเดียว (อ่านรายละเอียด https://transbordernews.in.th/home/?p=41068 )
“คำถามและข้อเสนอเหล่านี้ เป็นมาตรการเชิงโครงสร้าง ที่ทำไม่ได้เพียงแค่คิดง่ายๆสั้นๆ เรื่องการแก้ภาพลักษณ์ แต่เรียกร้องความกล้าหาญและจริงจังในการแก้ปัญหาจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในขณะที่รัฐและคนของรัฐ ต่างพากันกำลังตื่นเต้น ฝันหวานที่จะได้เงินเป็นพันล้าน จากเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ที่เพิ่งผลักดันกันออกมาสดๆร้อนๆ แต่อาชญากรรมที่พล่าผลาญเงินมหาศาลของประชาชน ในแต่ละปี ที่มีจำนวนสูงแทบจะเท่ากับจีดีพีของประเทศเล็กๆประเทศหนึ่ง และทำลายเศรษฐกิจของชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รัฐกลับไม่มีแผนในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนแต่อย่างใด
“ฝันหวานเรื่องเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั้น ทำให้คนของรัฐตาพร่ามัว จนคงจะลืมไปว่า ในสมัยที่กลุ่มทุนจีนเทา เสนอที่จะสร้างเมืองชเวโก๊กโกะขึ้นที่ชายแดนเมียวดีนั้น ไอเดียอันตื่นตาตื่นใจของเมืองดังกล่าว ก็คือการสร้างให้เป็นเมืองแห่งเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั่นเอง และเผื่อไม่ทราบกัน กลุ่มทุนเดียวกันนี้ ก็เคยแสดงความจำนงในการร่วมลงทุนในเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ของไทย ด้วยเช่นกัน” ศ.ปิ่นแก้วระบุ
วันเดียวกันที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาถึงกลไกในการป้องกัน ปราบปราม แก้ไข และรวมถึงเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบของขบวนการนำพาและการค้ามนุษย์ โดยระบุว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กาสิโน และสแกมเมอร์ต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยถือเป็น ‘ธุรกิจสีดำ’ อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา กัมพูชา หรือลาว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบตกมาที่ประเทศไทยเต็มๆ เพราะประเป็นทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง
“ผลกระทบต่อประเทศไทยจากขบวนการนำพาและการค้ามนุษย์ที่ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญหน้ากับขบวนการมาเฟียระดับโลก ไม่ใช่แค่มาเฟียระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ เราอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดช่องว่างในประเทศเกี่ยวกับมาตรการทางกฎหมายและมาตรการต่างๆ และขบวนการเหล่านี้ฉลาดเพียงพอที่จะเดินหน้านำหน้าไทยไปประมาณ 3 ก้าว เพราะเขาทราบดีว่าประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เป็นไข่ดาว มีเพื่อนบ้านรอบๆ เราทั้งสามประเทศที่มีเรื่องเกี่ยวกับกาสิโน ธุรกิจออนไลน์ และคอลเซ็นเตอร์”นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า นโยบายฟรีวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้ชาวต่างชาติราว 90 ประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้นกว่าเดิม แต่ไทยกลับไม่มีมาตรการติดตามหรือการกำกับดูแลชาวต่างชาติเหล่านี้ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และค้ามนุษย์กำลังเฟื่องฟู
“การที่เรามีนโยบายฟรีวีซ่า เราต้องมีมาตรการติดตามอย่างไรหรือไม่ เราต้องมีการทำโซนนิ่งหรือไม่ เพื่อไม่ให้เขาออกไปตามชายแดนและข้ามแดนไป การบูรณาการหน่วยงานที่มีงบประมาณด้านป้องกันการค้ามนุษย์ได้มีการปรับปรุงหรือไม่ ผมมีพิกัดและที่อยู่ของธุรกิจสีดำและขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ในพื้นที่ชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังทำอะไรได้ไม่มากนักเพราะต้องคุยในแบบรัฐต่อรัฐ และควรจะมีการคุยระหว่างรัฐกับกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่เพราะถึงจะมีการติดต่อกับรัฐต่อรัฐก็อาจทำได้แค่ในกรณีลาวและกัมพูชา แต่ในเมียนมาทำไม่ได้เพราะพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตของกองกำลังติดอาวุธ” นายกัณวีร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายนายกัณวีร์ได้ฉายภาพเหยื่อชาวต่างชาติที่ถูกกลุ่มมาเฟียจีนทรมานด้วยการใช้เครื่องช็อตไฟฟ้า โดยเหยื่อได้ร้องอ้อนวอนด้วยเสียงโหยหวน
ขณะที่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ส.ส.พรรคประชาชนจังหวัดระยอง ขอร่วมเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเพื่อศึกษาพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาขบวนค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า เพราะขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยในสายตานานาชาติ ถูกมองเป็นทางผ่านขบวนการอาชญากรรม ทั้งยังเสี่ยงถูกหลอกหรือถูกลักพาตัวไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายนิติบัญญัติต้องเร่งหาทางป้องกันและแก้ไข รวมถึงผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ
นายชุติพงศ์ยังได้เสนอกรอบแนวทางการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บัญชีม้า และขบวนการค้ามนุษย์ โดยเสนอให้มีการจัดตั้งกรรมาธิการวิสามัญและเสนอแนะแนวทางต่อรัฐบาลในประเด็นต่างๆ เช่น การศึกษาแนวทางการจัดตั้งศูนย์บัญชาการที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตรง และรวบรวมหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการอย่างพร้อมเพรียง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีการสนับสนุนด้านงบประมาณที่เพียงพอ ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ร่วมอภิปรายว่าสถานะของประเทศไทยในวันนี้แทบไม่แตกต่างอะไรกับการเป็นเอเยนต์อย่างไม่ได้เต็มใจของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และแก๊งค้ามนุษย์ ภาครัฐต้องเอาจริงเอาจังเพื่อตัดหนทางทำงานของเครือข่ายอาชญากรรม พร้อมขอความร่วมมือจากเพื่อน ส.ส.จากทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลให้ร่วมกันผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ
“ในปี 2566 มีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมสแกมเมอร์มากกว่า 300,000 คน ส่วนมากเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ แต่ถ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ยังเติบโตต่อไป เชื่อว่าจะมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนในอนาคต ส่วนมูลค่าความเสียหายในไทยประมาณ 70,000 ล้านบาท และมูลค่าความเสียหายทั่วโลกประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท แต่ถ้ารวมถึงคนที่อาจจะไม่กล้าจะพูดว่าพวกเขาถูกแก๊งสแกมเมอร์หลอก เชื่อว่าตัวเลขความเป็นจริงของความเสียหายที่เกิดขึ้นในไทยอาจสูงกว่าแสนล้านบาทก็ได้”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวว่า สองคำถามที่เราควรจะตั้งคำถามเวลาจะทำความเข้าใจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งสแกมเมอร์ หรือแก๊งค้ามนุษย์ คือ หนึ่ง ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องมาตั้งอยู่ใกล้ชายแดนของประเทศไทย และสอง การมาตั้งอยู่ใกล้ชายแดนของประเทศไทย พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ทำไมไม่เป็นประเทศจีน ตนคิดว่าต้องตั้งคำถามเหล่านี้แล้วถึงจะเห็นความผิดปกติว่าประเทศไทยไปเกี่ยวข้องอย่างไรกับปัญหาของสิ่งที่เรียกว่าแก๊งหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้“ข้อมูลที่ผมได้จากการลงพื้นที่ และเป็นหลักฐานที่ผมพยายามพูดมาโดยตลอดคือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบโต คือการอยู่ใกล้กับจุดขายไฟฟ้าที่เราส่งให้ประเทศเพื่อนบ้าน ผมถึงพยายามเน้นย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คอลเซ็นเตอร์ที่เติบโตและมาตั้งใกล้ชายแดนไทยเพราะเขาหวังพึ่งสิ่งเหล่านี้ บางจุดไฟตัดไปแล้ว แต่อีกหลายจุดยังขายไฟอยู่ โดยเฉพาะที่จังหวัดตากเป็นนอมินี ผมถึงได้เรียกร้องว่ากระทรวงมหาดไทยต้องเอาจริงเรื่องนี้ได้แล้ว ท่านจะปล่อยเรื่องนี้ให้คาราคาซังไปทำไม หากนำไปสู่การตัดไฟ เราไม่ได้กระทบอะไร ไฟฟ้าเหล่านี้คิดเป็นรายได้ไม่เยอะเลยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เราจะเก็บไว้ทำไม ตกลงตอนนี้ประเทศของเราคือแบตเตอรี่ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช่หรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว
“ข้อมูลที่ผมได้จากการลงพื้นที่ และเป็นหลักฐานที่ผมพยายามพูดมาโดยตลอดคือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบโต คือการอยู่ใกล้กับจุดขายไฟฟ้าที่เราส่งให้ประเทศเพื่อนบ้าน ผมถึงพยายามเน้นย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คอลเซ็นเตอร์ที่เติบโตและมาตั้งใกล้ชายแดนไทยเพราะเขาหวังพึ่งสิ่งเหล่านี้ บางจุดไฟตัดไปแล้ว แต่อีกหลายจุดยังขายไฟอยู่ โดยเฉพาะที่จังหวัดตากเป็นนอมินี ผมถึงได้เรียกร้องว่ากระทรวงมหาดไทยต้องเอาจริงเรื่องนี้ได้แล้ว ท่านจะปล่อยเรื่องนี้ให้คาราคาซังไปทำไม หากนำไปสู่การตัดไฟ เราไม่ได้กระทบอะไร ไฟฟ้าเหล่านี้คิดเป็นรายได้ไม่เยอะเลยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เราจะเก็บไว้ทำไม ตกลงตอนนี้ประเทศของเราคือแบตเตอรี่ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช่หรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว