ภาสกร จำลองราช

ตอนนี้ทางเลือกของ “ชิต ตู” ผู้นำกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force-กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง ที่ตั้งขึ้นภายใต้กองทัพพม่า) มีไม่มากนักว่าจะประคับประคองแหล่งธุรกิจสีเทา-สีดำในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่าให้อยู่รอดได้หรือไม่ รวมไปถึงการนำพาองค์กร BGF ก้าวเดินต่อไปอย่างไร เมื่อทั้งจีนและไทยตั้งท่าเอาจริงกับขบวนการอาชญากรข้ามชาติที่อยู่ในความดูแลของ BGF
ผลสะเทือนจากกรณี “ซิง ซิง”หรือนายหวังซิง(Wang Xing) ดาราชาวจีนที่ถูกหลอกมายังประเทศไทยและถูกพาข้ามไปยังแหล่งอาชญากรรมฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศพม่า แม้ได้รับความช่วยเหลือในเวลาอันรวดเร็ว แต่ได้ทำให้ปัญหาที่เป็นดังบาดแผลที่เน่าเฟะถูกเปิดกว้างและส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วโลก แม้แต่รัฐบาลไทยที่เคยสงบเสงี่ยมกับปัญหานี้ก็ยังต้องแสดงท่าทีเอาจริง เพราะกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งโดยเฉพาะความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย
ขณะที่ประชาชนชาวจีนได้ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ เพราะยังมีคนจีนอีกจำนวนมากที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกับซิง ซิง และนายหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนได้แสดงบทพี่ใหญ่ชวนประเทศในภูมิภาคนี้จัดการกับเหล่าอาชญากรและมาเฟียข้ามชาติเหล่านี้อย่างจริงจัง
กองกำลังกะเหรี่ยง BGF มีเขตอิทธิพลตั้งแต่ริมแม่น้ำเมย ติดกับชายแดนไทยตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จ.ตาก ลึกเข้าถึงตัวเมืองเมียวดี โดยแหล่งธุรกิจสีเทาดำที่มีชื่อเสียงคือชเวโก๊กโก่ และเคเคปาร์ค แต่ก็ยังมีแหล่งอาชญากรรมอื่นตั้งอยู่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่อีกนับสิบแห่ง
ขณะที่พื้นที่ตอนใต้ของ BGF คืออาณาจักรของ DKBA (Democratic Karen Buddhist Army-กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย) ที่รู้จักดีในชื่อ “ช่องแคบ” หรือเขตไท่ฉาง ตรงข้ามกับบ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตากภายใต้การควบคุมของพลจัตวา ไซ จ่อหล้า หรือ “โกไซ”
ประเทศไทยเปรียบเสมือน gateway คือประตู หรือระเบียงหน้าสู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ส่วนด้านหลังที่เป็นป่าเขาและเรือกสวนไร่นาซึ่งเป็นอาณาเขตของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU (Karen National Union-สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง) ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่คือสนามรบกับกองทัพทหารพม่าอย่างต่อเนื่องโดยมี PDF ( People’s Defense Force-กองกำลังพิทักษ์ประชาชน ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2564) เป็นแนวร่วม ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การสู้รบรุนแรงขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะในพื้นที่กอกะเร็ก ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าต้องการยึดคืนถนนหลวงเอเชียไฮเวย์ AH1 ที่ถูกKNU ยึดไว้นานนับปี
แผ่นดินไทยจึงกลายเป็นระเบียงสารพัดประโยชน์ให้กับกองกำลังกะเหรี่ยง BGF DKBA และ KNU มายาวนาน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้ประโยชน์อะไร เพื่อใคร
กลุ่มอาชญากรข้ามชาติใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นเส้นทางประกอบธุรกิจดำ ซึ่งทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความควบคุมของ BGF และ DKBA จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติไปด้วย เพราะมีรายได้มหาศาลในการให้เช่าพื้นที่และดูแลความปลอดภัยให้ธุรกิจสีดำของมาเฟียจีน
วันนี้สถานการณ์ทั่วโลกกดดันให้ทลายแหล่งอาชญากรรมที่กักขังเหยื่อต่างชาตินับหมื่นซึ่งถูกบังคับให้ทำงานสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ โดยทางการจีนได้แสดงท่าทีจริงจังพร้อมเข้าดำเนินการปราบปราม ขณะที่รัฐบาลไทยยังมีท่าทีที่มีไม่ชัดเจนนัก เพียงแค่ให้ผู้ปกครองระดับจังหวัดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการ ทั้งๆที่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่เพราะการปราบปรามแหล่งอาชญากรรมที่มีรายได้นับแสนล้านบาทนี้ ต้องใช้สรรพกำลังและพลังมหาศาล บางประเด็นเป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐหรือระหว่างรัฐต่อกลุ่มกองกำลัง
จริงๆ แล้วหากรัฐบาลไทยจะใช้วิธีการเด็ดขาดกับ 2 กองกำลังกะเหรี่ยงเทาดำก็คงทำได้ไม่ยาก เพียงตัดท่อลำเลียงและการเชื่อมต่อธุรกรรมต่างๆ รวมทั้งเข้มงวดในการข้ามแดนและจับกุมคนที่กระทำผิด พร้อมประกาศให้ชัดเจนไปเลยว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่าทั้งผู้นำ BGF และ DKBA ต่างมีรายได้จากธุรกิจอาชญากรรม แต่เชื่อว่าวิธีการนี้ได้สร้างความลำบากใจให้ “ใคร” หลายคน เพราะระบบ “ส่วย” ที่เชื่อมโยงสองฝั่งแม่น้ำเมยนั้นแน่นหนามาก
หรือหากจะใช้วิธีการเดียวกับที่ทางการจีน ใช้ในการปราบปรามแหล่งอาชญากรรมในเขตปกครองพิเศษโกก้างก็น่าสนใจ
เมื่อเดือนตุลาคม 2566 จีนสนับสนุนด้านอาวุธให้ขั้วอำนาจเก่าในโกก้างที่นำโดยเผิง ต้าซุน ยึดอำนาจคืนจากไป๋ โส่วเฉิน ซึ่งเป็น BGF ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่า และร่วมมือกับมาเฟียจีนสร้างเมืองสแกมเมอร์ในเขตปกครองโกก้าง ส่งผลให้ประชาชนชาวจีนเดือดร้อนอย่างหนักเพราะมีชายแดนติดกัน ท้ายที่สุดกองกำลังโกก้างที่มีนายไป๋ โส่วเฉิน พ่ายแพ้และนายไป๋ โส่วเฉิน ถูกส่งตัวไปรับโทษในจีน
จีนยังได้ขยายอิทธิพลผ่านกองกำลังโกก้าง MNDAA(Myanmar National Democratic Alliance Army) ที่จับมือกับพันธมิตรในนามสามพี่น้อง The Brotherhood Alliance ออกไปได้อย่างกว้างขวาง
ก่อนหน้านั้นจีนได้ให้การสนับสนุนกองกองทัพแห่งสหรัฐว้า (United Wa State Army -UWSA) จนสามารถขยายพื้นที่ในรัฐฉานออกไปได้อย่างกว้างขวางจนจรดชายแดนภาคเหนือของไทย ที่จ.เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน
เพียงแต่ล่าสุดเมื่อจีนหันมาจับมือกับ พล.อ.มิน อ่องหลาย ผู้นำทหารพม่าได้แล้ว จึงได้ปรามไม่ให้ The Brotherhood Alliance ทำสงครามกับทหารพม่าอีก เพราะจีนมีผลประโยชน์มหาศาลในพม่า
บริเวณชายแดนตะวันตกของไทยด้านรัฐกะเหรี่ยงนั้น ในบรรดาเหล่ากองกำลังติดอาวุธ ที่น่าเชื่อถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีดำในแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีน้อยที่สุดคือ KNU โดยคณะผู้นำส่วนใหญ่ของกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ได้มีท่าทีมาโดยตลอดว่าสู้เพื่อแผ่นดิน ไม่เห็นด้วยกับการทำมาหากินกับการค้ามนุษย์และคอลเซ็นเตอร์ เพียงแต่มีผู้นำ KNU เพียงไม่กี่คนและลูกหลานที่ทำมาหากินอยู่กับธุรกิจสีดำในเขตปกครองของ BGF ซึ่งน่าเสียดายที่กลไกภายในของ KNU ยังไม่สามารถขจัดออกไปได้
แต่โดยภาพใหญ่ขององค์กรแล้ว กองกำลังกะเหรี่ยง KNU มีจุดยืนชัดเจนที่ต้องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประชาชน แตกต่าง BGF และ DKBA มุ่งกอบโกยผลประโยชน์และสร้างความร่ำรวยให้กับผู้นำ
หากรัฐบาลไทยสนับสนุนให้กองกำลังกะเหรี่ยง KNU เข้าไปปราบปรามพื้นที่แหล่งอาชญากรรมในเมืองเมียวดี ย่อมดีกว่าการที่ปล่อยปัญหาให้ลากยาว จนกระทั่งจีนเข้ามาแทรกแซงผ่านรัฐบาลทหารพม่าและยื่นเงื่อนไขต่อรองกับกองกำลังกะเหรี่ยงเทา เพราะหากเป็นเช่นนั้นการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนของไทยจะยุ่งยากและซับซ้อนขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ที่สำคัญคือไทยจะสูญสิ้นอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนจนแทบไม่เหลืออะไร เช่นเดียวกับที่ปล่อยให้กองกำลังว้าUWSA เข้ามายึดครองพื้นที่ตะเข็บชายแดนภาคเหนือแทนกองกำลังไทใหญ่เมื่อกว่า 20 ปี จนทำให้กองกำลังว้าเติบใหญ่ เพราะมีรายได้มหาศาลจากการขายยาเสพติดโดยมีประเทศไทยเป็นแหล่งปล่อยของและทางผ่าน
ถึงเวลาที่รัฐบาลควรเลือกเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ใช่ปล่อยให้นักค้ายาและเหล่าอาชญากรมาเกาะขอบรั้วแล้วบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา”
การประกาศรับทหารเพิ่มของกองกำลังกะเหรี่ยง BGF พร้อมทั้งเผยแพร่ภาพการฝึกอาวุธเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความหวั่นไหวของชิต ตู ในสถานการณ์อันผันผวนเพราะไม่ว่าอย่างไรเสียบ่อเงินบ่อทองจากแหล่งอาชญากรรมริมน้ำเมยที่เสวยสุขมาหลายปี ย่อมถูกสั่นคลอนหรือถึงขั้นถูกปราบปราม
นั่นหมายถึงความอ่อนแอของกองกำลัง BGF ที่ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะทหาร BGF มีเงินเดือนอันมีที่มาจากมาเฟียจีนเป็นตัวขับเคลื่อน
วันนี้ทางรอดของ “ชิต ตู” จึงมีไม่มาก เช่นเดียวกับทางเลือกของรัฐบาลไทยที่กำลังเหลือน้อยเต็มที
———-