
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 มาธา (นามสมมุติ) หญิงชาวยูกันดาผู้ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ของเหล่ามาเฟียจีนในเมียวดี ได้รับการปล่อยตัวจากแหล่งอาชญากรรม Zhongfa ข้ามมายังอำเภอแม่สอด จ.ตาก และเข้าพักที่โรงแรมเอราวัณในอำเภอแม่สอด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่นของไทยจึงร่วมกันตรวจสอบข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม และจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
มาธาได้เปิดเผยกับผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ว่า เธอได้รับการปล่อยตัวจากบริษัทจีนเทาในเมียวดีเพียงคนเดียว เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพจนไม่สามารถทำงานได้ แต่ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากถูกกักตัวและถูกบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์ให้กับบริษัทดังกล่าวต่อไป ซึ่งรวมถึงสามีของเธอที่ต้องทำงานแทนเพื่อชดใช้หนี้ที่บริษัทเรียกร้องโดยอ้างว่าเป็นค่าไถ่ตัว

“ตั้งแต่วันแรก ฉันบอกพวกเขาว่าฉันทํางานไม่ได้ พวกเขาพาฉันไปคลินิกเล็กๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่คลินิกด้วยซํ้า มันเหมือนร้านขายยามากกว่า หมอที่ทํางานที่นั่นเป็นคนจีน ทําให้เราอธิบายอะไรไม่ได้เลย และถ้าล่ามไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด เขาก็จะแปลไปตามที่เขาเข้าใจเอง ฉันบอกว่าฉันปวดหัวและขาเจ็บมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยืนหรือหานั่งนานเกินไปหรือเปล่า ฉันก็อธิบายไป แล้วเขาก็เอาหลอดฉีดยาออกมาสองอัน จากขวดเล็กๆ สองขวด เขาฉีดยาให้ฉันที่ขาทั้งสองข้าง ไม่ใช่ที่สะโพก แล้วก็พาฉันกลับไปทํางาน”มาธากล่าว และว่าเธอพร้อมสามีเดินทางมาลงเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2567 และถูกพาตัวมายังเมืองเมียวดีในเวลาต่อมา
มาธากล่าวว่า “หมอบอกคนจีนว่าควรให้ฉันพักก่อน แต่พวกเขาให้ฉันพักแค่ 2 ชั่วโมง แล้วก็เรียกกลับไปทํางาน ฉันบอกพวกเขาว่าฉันไม่ไหว ฉันรู้สึกไม่ดีเลย วันต่อมาฉันกลับไปทํางาน แต่พบว่าฉันเคลื่อนไหวไม่ได้อีก ฉันนั่งลงแล้วรู้สึกเวียนหัว เจ็บที่ก้นกบระหว่างสะโพกกับกระดูกก้นกบ ขาของฉันเริ่มอ่อนแรงจนเดินไม่ได้เลย คนอื่นต้องพยุงฉันไปทุกที่ ทั้งตอนมาทํางานและไปกินข้าว จนถึงจุดที่ฉันทํางานไม่ได้เลย เขาต้องคอยพยุงหลังของฉัน บางครั้งแม้แต่เสียงเล็กๆ ก็ทําให้ฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ฉันเลยบอกพวกเขาว่า ฉันทํางานต่อไปไม่ได้แล้ว”
“สามีของฉันไปบอกพวกเขาว่า ถ้าภรรยาฉันตาย มันจะเป็นความรับผิดชอบของพวกคุณ พวกเขาเลยให้ฉันสามทางคือ ทํางานต่อจนสัญญาหมด กลับบ้านแต่สามีต้องทํางานใช้หนี้ทั้งของฉันและของเขาอีก3-4 ปี หรือขายฉันไปที่อื่น สามีฉันเลือกที่จะอยู่ทํางานใช้หนี้แทนฉันฉันมีปัญหาที่” มาธาระบุ
นอกจากมาธา ยังมีหญิงชาวยูกันดาของเธออีกรายหนึ่งซึ่งต้องทำงานและถูกกดดันทั้งที่ตั้งครรภ์ ถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะถูกข่มขู่ว่าจะถูกส่งตัวไปทำแท้ง
“เธอเป็นเพื่อนของฉัน เรามาพร้อมกัน ฉันป่วย ส่วนเธอตั้งครรภ์ ผู้ชายที่ทําให้เธอตั้งครรภ์ถูกทรมาน โดนซ้อม โดนทําทุกอย่าง ส่วนผู้หญิง พวกเขาบังคับให้เธอทําแท้ง พวกเขาบอกเธอว่าถ้าอยากกลับบ้านต้องจ่าย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าเธอจ่ายไม่ได้ ก็ต้องพาคนมาเพิ่มอีก 5 คน ถ้าทําไม่ได้ เธอต้องทําแท้ง ทุกวันพวกเขาพูดถึงการพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อเอาเด็กออก ตอนนี้เธอยังอยู่ในอาคาร พวกเขายังไม่ปล่อยเธอออกมา”มาธา กล่าว
เหยื่อชาวยูกันดาระบุว่า ที่บริษัทดังกล่าวมีเหยื่อค้ามนุษย์หลายชาติที่ยังถูกกักขัง ถูกบังคับให้ทำงาน ถ้าไม่สามารถทํายอดการสแกมเมอร์รายวันหรือรายเดือนได้ตามที่บริษัทเรียกร้อง เหยื่อจะถูกขังในห้องมืด ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ถูกเตะ และบางครั้งก็ถูกแขวนทั้งวันทั้งคืนในท่ายืน คนที่ถูกบังคับให้ทำงานเหล่านี้ไม่ได้รับเงิน และถ้าป่วยจนถูกพาไปโรงพยาบาลก็จะกลายเป็นหนี้บริษัท และต้องจ่ายเงินนั้นคืน มาธาจึงขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้โปรดช่วยกวาดล้างแหล่งอาชญากรรมที่อาศัยไทยเป็นทางผ่านและช่วยเหลือผู้เสียหายทั้งหมดออกมาโดยด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งอาชญากรรมที่มาธาออกมานั้นคือบริษัทซงฟาซึ่งเป็นของกลุ่มมาเฟียจีนซึ่งต้องอยู่ในบริเวณแหล่างอาชญากรรมช่องแคบภายใต้การควบคุมของกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA (Democratic Karen Buddhist Army-กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย ) โดยในพิกัดนี้มีชาวต่างชาติถูกหลอกและกักขังอยู่จำนวนมาก และขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยมในการทรมานเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยผู้ที่เข้ามาประกอบธุรกิจในแหล่งอาชญากรรมแห่งนี้นอกจากมาเฟียจีนแล้ว ยังมีมาเฟียชาวโกก้างที่อพยพย้ายมาจากเขตพิเศษโกก้างภายหลังจากที่แหล่งอาชญากรรมในเมืองเล้าก์ก่ายถูกทลาย

วันเดียวกันสำนักข่าว BBC Burmese รายงานอ้างอิงคำแถลงของหน่าย หม่อง ส่อโฆษกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force-Karen หรือ BGF) โดยระบุว่า พ.อ.ชิต ตู ผู้นำ BGF มีคำสั่งปิดบริษัท Daung May Garden ในเขตเศรษฐกิจย่าไถ่-ชเวโก๊กโกในเมียวดี รัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ในความควบคุมของ BGF หลังบริษัทดังกล่าวถูกเปิดโปงว่าเกี่ยวพันกับการล่อลวง ‘ซิงซิง’ หรือ ‘หวังซิง’ นักแสดงชายชาวจีน ให้เดินทางมาไทยและถูกนำตัวข้ามแดนโดยผิดกฎหมายไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ ก่อนที่นายหวังซิงจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ด้วยการประสานความช่วยเหลือจากหลายฝ่าย
โฆษก BGF ยังเปิดเผยกับ BBC Burmese ด้วยว่าจะมีการยกระดับการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาเพิ่มเติม เพราะเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์เข้ามาเมียวดีผ่านทางประเทศไทยมากกว่าจะใช้เส้นทางอื่นๆ ในประเทศเมียนมา ทั้งยังระบุอีกว่า พ.อ.ชิต ตู ประกาศพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาประเทศในการปราบปรามเครือข่ายอาชญกรรมข้ามชาติ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ไม่นาน องค์กรพิทักษ์ด้านสิทธิมนุษยชน Justice For Myanmar และองค์กรวิจัยเพื่อสันติภาพจากสหรัฐอเมริกา United States Institute of Peace (USIP) ต่างเคยออกแถลงการณ์ว่า พ.อ.ชิต ตู ผู้นำ BGF อาจพัวพันกับเครือข่ายอาชญากรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ควบคุมของ BGF เสียเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2567 เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ได้ส่งจดหมายถึงชิต ตู ผู้นำ BGF และผู้นำ DKBA เพื่อแจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์ที่มีชาวต่างชาติจำนวนมากถูกจับตัว กักขังและบังคับให้ทำงานอยู่ในแหล่งอาชญากรรมต่างๆซึ่งอยู่ในความดูแลของ BGF และ DKBA แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีท่าทีใดๆ โดยต่างอ้างว่าไม่สามารถเข้าไปในตัวอาคารที่อยู่ในความดูแลของเหล่ามาเฟียจีนได้ และล่าสุดการทรมานเหยื่อชาวต่างชาติยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยรูปแบบต่างๆ
——–