เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟสบุคถึงกรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)ส่งไฟขายให้กับประเทศพม่าทั้งฝั่งเมืองท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามกับ อ.แม่สอดและ อ.พบพระ จ.ตาก และฝั่งเมืองท่าขี้เหล็ก ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย และถูกนำไปใช้ในธุรกิจสีดำเช่น คอลเซ็นเตอร์และการผลิตยาเสพติด ว่าการที่กฟภ.ขายไฟให้เมืองสแกมเมอร์ในฝั่งเมียวดี หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องรัฐต่อรัฐ จริงๆแล้วไม่ใช่ หากไม่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนฝั่งเมียนมา ก็ควรจะศึกษาหาความรู้
“ดิฉันเคยสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ กฟภ.รายหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เขาระบุชัดเจนว่า กรณีชายแดนเมียนมานั้น ต่างไปจากการขายไฟให้กับทางฝั่งลาว เพราะในส่วนของรัฐพม่า ประเทศพม่าในเรื่องพื้นที่การปกครองเป็นลักษณะรัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลกลางไม่สามารถที่จะเข้ามาปกครองในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยอย่างรัฐกะเหรี่ยงได้ จึงไม่สามารถที่จะทำเป็นแบบรัฐต่อรัฐได้” ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว

อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาฯกล่าวด้วยว่า รูปแบบการขายไฟฟ้า จึงเป็นการทำสัญญาผ่านตัวแทนหรือนอมินี หรือบริษัทของกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force ) ซึ่งก็คือ Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited หรือ SMTY ที่ไปขอสัมปทานจากรัฐบาลกลางเมียนมามา แล้วมาเซ้งที่และขาย license ให้กับนอมินีฝั่งไทย โดยกลุ่มนอมินีไทย เป็นฝ่ายที่เข้าไปลงทุนในพื้ินที่ BGF สร้างระบบไฟฟ้า บริหารจัดการเรื่องไฟในเมืองสแกมเมอร์ทั้งหมด เช่น ติดตั้งเสา และอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ ดูแลเมื่อระบบไฟมีปัญหา ฯลฯ ตลอดจนตามเก็บค่าไฟแล้วนำมาส่งให้กับกฟภ.
“การขายไฟในระบบแบบนี้ รัฐบาลกลางพม่าได้ค่าสัมปทาน และบริษัทของ BGF ได้ค่าเซ้งพื้นที่ บริษัทนอมินีไทยค้ากำไรจากการชาร์จค่าไฟที่สูงลิ่วจากพวกอาชญากรจีน ส่วน กฟภ.นั้น เป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รอรับค่าไฟจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือนอย่างเดียว KK Park นั้น ใช้ไฟมากกว่า 10 เมกกะวัตต์ ชเวโก๊กโกะ 8 เมกกะวัตต์ ก่อนจะถูกตัดไฟในดือนมิถุนายนในปีที่แล้ว เฉพาะรายได้ค่าไฟจาก KK Park แห่งเดียว ในเดือนพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวนั้นสูงถึง 30 ล้านบาท รายได้รวมทั้งปีลองคูณเข้าไปดูว่าจำนวนกี่ร้อยล้าน แล้วจะเข้าใจว่า เหตุใดการค้าขายไฟกับเมืองสแกมเมอร์จึงเป็นเรื่องหอมหวานสำหรับทุกฝ่าย” ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า
อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สัญญาสัมปทานเช่าพื้นที่เพื่อก่อสร้างระบบไฟฟ้าในเมืองสแกมเมอร์ที่รัฐบาลพม่าทำกับบริษัทของ BGF และ BGF เอามาเซ้งต่อให้นอมินีไทย เป็นสัญญาปีต่อปี และเป็นสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐบาลพม่ากับ SMTY เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทย ดังนั้นอย่าหลงประเด็น กลางปีที่แล้ว หลังจากโดนกดดันจากรัฐบาลจีน ในการสกัดอาชญากรรมสแกมเมอร์ รัฐบาลทหารพม่าก็เคยไม่ต่อสัญญาสัมปทานกับ SMTY ไปรอบนึงแล้ว ทำให้กฟภ.ต้องยุติการจ่ายไฟไปยังจุดที่ตั้งของเมืองชเวโก๊กโกะ (ตรงข้ามบ้านวังผา) และเมือง KK Park (ตรงข้ามบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง) แต่กฟภ. ไม่ได้ตัดไฟในพื้นที่อื่นๆอีกสองแห่งในเมียวดี และแน่นอน ยังคงร่ำรวยจากรายได้หลายร้อยล้านจากการขายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชายแดนดังกล่าว
“หลังการตัดไฟในรอบนั้น ได้ทำเมืองสแกมเมอร์ทั้งสองซบเซาไปชั่วขณะ ในขณะที่เสียงเครื่องปั่นไฟ ดังกระหึ่มข้ามมาฝั่งไทย เอกชนที่ขายเครื่องปั่นไฟในเมืองแม่สอด ต่างล่ำซำจากการขายเครื่องปั่นไฟในช่วงนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆทั้งเมืองชเวโก๊กโกะ และเมือง KK Park ต่างกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับธุรกิจอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ขยายตัวและหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า คำถามสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่า ปัจจุบันเมืองสแกมเมอร์ทั้งสอง ใช้ไฟจากไหน หากไม่ใช่จาก กฟภ. เพราะพื้นที่ชายแดนตลอดแนวชายแดนไทย-พม่านั้น ล้วนพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยทั้งสิ้น
“การที่รัฐมนตรีบางคนออกมาพูดพล่อยๆว่า ขายไฟฟ้าให้เมียนมาไปแล้ว ส่วนเขาจะไปขายต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขา ถือเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ได้อย่างยิ่ง ไม่ควรที่จะมาบริหารและดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุขของประชาชน ตลอดจนการสร้างความปลอดภัยให้กับพื้นที่ชายแดน
การปล่อยปละละเลยให้สาธารณูปโภคของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชน กลายเป็นทรัพยากรที่อาชญากรข้ามชาตินำไปใช้ดำเนินกิจการในการล่อลวงและทำร้ายประชาชนของประเทศอย่างกว้างขวาง โดยรัฐและหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำอะไร ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง ที่น่าละอายยิ่งกว่า ไม่ใช่การที่สื่อเมียนมาชี้นิ้วมาที่ไทยว่าขายไฟให้กับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องกำไรและรายได้มหาศาลจากการค้าไฟฟ้ากับพวกอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ ล้วนมาจากเงินเก็บและทรัพยากรของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากมาย หลายคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว แต่รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ กลับพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบว่า นี่คือมหาดไทย ไม่ใช่มหาดพม่า”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว