Search

คาดผู้ลี้ภัย-ผู้พลัดถิ่นนับแสนคนได้รับผลกระทบด้านสาธารณสุขจากนโยบาย“ทรัมป์” ตัดความช่วยเหลือ “หมอซินเทีย”เผยแม่ตาวคลินิคกระทบหนัก-งบหายไป 1 ใน 3 “ดร.ชยันต์”แนะรัฐหารือทางออก 9 ศูนย์พักพิงจริงจัง

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 แพทย์หญิงซินเทีย หม่อง ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซประจำปี 2546 และผู้ก่อตั้งแม่ตาวคลินิก อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งทำหน้าที่ให้บริการสาธารณสุขให้แก่ผู้ลี้ภัยตลอดแนวชายแดนไทยพม่ามากว่า 30 ปี ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ”ถึงกรณีนโยบาย ’Executive Order‘ ให้ตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศทันที 90 วัน ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทีส่งผลถึงชายแดนไทยที่ทำให้งานด้านสาธารณสุขในค่ายผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจำนวนมากได้รับผลประทบอย่างรุนแรงว่า มีการแจ้งมาว่าตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมเป็นต้นไป ค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนสหรัฐฯจะเบิกจ่ายไม่ได้ โดยจะใช้ระยะเวลา 90 วันในการพิจารณา ซึ่งคำสั่งดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการทำงานบริการสาธารณสุขให้แก่ผู้ลี้ภัย รวมทั้งประชาชนผู้พลัดถิ่น (internally displaced persons-IDPs) ในพม่าตลอดแนวชายแดนไทย ในรัฐกะเหรี่ยง ในรัฐคะเรนนี รวมทั้งอีกหลายพื้นที่ ซึ่งคาดว่าผลกระทบมีเยอะมาก

“สำหรับที่แม่ตาวคลินิก ได้รับการสนับสนุนจากหลายแหล่งทุน โดยได้รับผลกระทบประมาณ 1 ใน 3 โดยใน 90 วันนี้ เราต้องจัดการลดค่าใช้จ่าย เป็นสัดส่วนราว 30% ของงบประมาณ ซึ่งกำลังหารือกับหน่วยงานต่างๆ ว่าอย่างน้อยต้องช่วยผู้ป่วยในกรณีวิกฤติ กรณีฉุกเฉิน กรณีช่วยชีวิต ขณะนี้แม่ตาวคลินิกยังทำงานอยู่และกำลังประสานงานอย่างต่อเนื่อง”พญ.ซินเทีย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นการถอนการสนับสนุนอย่างถาวรจะเป็นอย่างไร แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงตอบว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงผลกระทบจะรุนแรงมาก ทั้งผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่น ซึ่งตนเองมีความกังวลว่าโรงพยาบาลชายแดนในประเทศไทยจะดำเนินการอย่างไร เพราะที่ผ่านมามีการทำงานประสานงานร่วมกัน โรงพยาบาลหลายแห่งรับคนไข้จากแม่ตาว ตั้งแต่ จ.แม่ฮ่องสอน ลงมาถึง จ.ตาก จะกระทบหมด อย่างไรก็ต้องแก้ปัญหาโดยด่วน ต้องเร่งหาแหล่งทุนใหม่ ต้องหาทางไปต่อว่า 3 เดือนนี้จะไปอย่างไร ขณะนี้องค์กรเล็กๆ ที่มีแหล่งทุนเดียวจะลำบากมาก ที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือเรื่องการส่งต่อคนไข้ที่ระบบต้องชะงักทั้งหมด

เมื่อถามว่าค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งตลอดแนวชายแดนไทยกำลังวิกฤตเรื่องสาธารณสุขควรแก้ปัญหาอย่างไร พญ.ซินเทีย กล่าวว่าจะหารือกับองค์กรสาธารณกุศล ทั้ง International Rescue Committee (IRC) และแหล่งทุนอื่นๆ ว่าเราจะช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างไร สำหรับผู้ลี้ภัย 90,000 คนในค่าย ยังไม่รวมอีกนับแสนคนที่เป็นผู้พลัดถิ่นในพม่าและในค่ายผู้พลัดถิ่นตามป่าที่กำลังหลบหนีการโจมตี หลบหนีเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งมุ่งเป้าไปที่พลเรือน ซึ่งเราจัดหมอ backpack health workers ส่งไปช่วยเหลือดูแลสุขภาพ ทั้งแม่และเด็ก แต่เมื่อถูกตัดงบประมาณก็กระทบนับแสน

พญ.ซินเทียกล่าวว่า สำหรับฝั่งไทยก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีคนไข้ที่จำเป็นต้องข้ามมาขอความช่วยเหลือ เรากำลังประเมินและรอดูว่าการจัดการสาธารณสุขชายแดนจะจัดการอย่างไร หากการส่งต่อคนไข้ต้องถูกระงับไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในรายงานวิจัยเรื่องทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว ซึ่งมี ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ และ ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร จากคณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นนักวิจัย โดยการสนับสนุนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ระบุสภาพปัญหาในค่ายพักพิงและข้อเสนอแนะไว้อย่างน่าสนใจ เช่น ควรมีการทบทวน (Rethinking) การนิยามผู้ลี้ภัยเนื่องจากรัฐบาลไทยมิได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 จึงทำให้ประเทศไทยไม่ยอมรับว่ามี “ผู้ลี้ภัย” และเรียกผู้ที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งว่า “ผู้หนีภัยจากการสู้รบ” และหากบุคคลเหล่านี้เดินทางออกมาภายนอกค่ายผู้ลี้ภัย จะกลายเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงเป็นการกดตรึงหรือกักขังให้ผู้คนเหล่านี้ต้องกลายเป็นผู้ที่จะต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเท่านั้น

“ควรมีการทบทวนนิยามผู้ลี้ภัยโดยคำนึงถึงหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการเดินทาง สิทธิด้านการศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น หากรัฐบาลไทยยังไม่ประสงค์จะยอมรับว่ามีผู้ลี้ภัย ก็สมควรจะพิจารณาให้เสรีภาพในการเดินทางเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้สามารถหางานทำภายในขอบเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดรายได้และการลดทอนศักยภาพของพวกเขา ข้อสำคัญ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จำานวนมากที่ตกอยู่ในสภาพจำเจ รอคอย และไม่มีความชัดเจนว่าได้เดินทางกลับถิ่นฐานของตนเมื่อใด มีชีวิตอยู่ในที่พักที่คับแคบ แออัด บางคนต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เด็กวัยรุ่นมีปัญหาการใช้ยาเสพติด มีกรณีการละเมิดทางเพศ สภาพของค่ายผู้ลี้ภัย ถึงจะไม่ใช่ค่ายกักกัน แต่ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่

ไม่ปรกติ ทำให้เกิดความหดหู่ รอคอยการให้ความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศ”งานวิจับระบุ

(อ่านรายละเอียดงานวิจัยได้ที่ https://transbordernews.in.th/home/?p=41217 )

ดร.ชยันต์ ให้สัมภาษณ์ว่าประเทศไทยต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะในค่ายพักพิงว่าจะให้พวกเขาอยู่อย่างไร และรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร หรืออาจต้องเสนอให้ให้อาเซียนเข้ามาร่วมรับผิดชอบและพิจารณา  เช่น ให้บัตรประจำตัวเหมือนที่บางประเทศดำเนินการใช้บัตรนี้แทนพลาสปอร์ตเพื่อให้เขาเดินทาง

“ทุกฝ่ายต้องร่วมกันหารือทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ลี้ภัยทั้ง  9 หมื่นคนนี้เราจำอย่างไรให้เยาวชนได้รับการศึกษา ทำอย่างไรให้คนในวัยทำงานได้ทำงาน ทำอย่างไรให้คนในกลุ่มเปราะบางได้รับการดูแล ซึ่งอาจนำคนในค่ายมาเทรนเพื่อดูแลกันเอง ผมเคยเข้าไปดูเขา บางคนมีฝีมือมาก ทั้งเรื่องดนตรี คอมพิวเตอร์ และอีกหลายๆด้าน แต่เราไม่เคยให้โอกาสเขาได้ออกมาทำงาน ที่ผ่านมารัฐบาลไทยลืมคนกลุ่มนี้ไปแล้ว แทนที่จะให้โอกาสเขาได้มาทำงานตามศักยภาพที่มีซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย”ดร.ชยันต์ กล่าว

ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในชายแดนไทย มี 9 แห่ง จำนวนมากกว่า 1 แสนคน แต่ในส่วนการดำเนินการของค่ายผู้ลี้ภัย มีเงินช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่หากนายทรัมป์หยุดการช่วยเหลือ หรือจะปฏิบัติต่อไปอย่างไร ก็ต้องคอยติดตาม โดยกระทรวงสาธารณสุขตระหนักมาตลอดว่า คนไทยเสียสิทธิ ถูกชาวต่างชาติมาแย่งสิทธิการดูแลรักษาพยาบาล จึงคิดว่าถึงเวลาปรับสิ่งเหล่านี้ให้เข้ารูปเข้ารอยเสียที เพราะคนต่างด้าวนับล้านคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ส่วนหนึ่งมาเป็นแรงงานถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานดูแลได้ดีอยู่แล้ว แต่ในส่วนแรงงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อาทิ กลุ่มผู้ลี้ภัย กลุ่มเข้าเมืองผิดกฎหมาย กลุ่มรอพิสูจน์สัญชาติ ซึ่งกลุ่มนี้มีอยู่ 7 แสนคน และกลุ่มที่รอขึ้นทะเบียนแรงงานอีกนับล้านคน ดังนั้น จะพูดถึงเฉพาะผู้ลี้ภัยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์อย่างเดียวไม่ได้ การดูแลช่วยเหลือต่างๆ ต้องทำทั้งหมด

“กระทรวงสาธารณสุขอยากจะเคลียร์ปัญหา เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก็จี้ให้ผมแก้ปัญหาตรงนี้ให้หมด เพราะกระทบสิทธิการรักษาพยาบาลของคนในประเทศ คนที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลรัฐโดนแย่งคิว ซึ่งผมจะจัดการและทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อย โดยจะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนกุมภาพันธ์”นายสมศักดิ์กล่าว และว่าในส่วนผู้ลี้ภัย เราคงทอดทิ้งไม่ได้ ในเมื่อเขามาอยู่ตรงนี้ แต่ต้นจะจัดการในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะในเรื่องเข้าประเทศผิดกฎหมาย

“ทุกวันนี้การที่กระทรวงสาธารณสุขขาดทุน จากการรักษาพยาบาลนับพันล้านคน เราต้องตั้งวงคุยกันว่าจะทำอย่างไร ขณะนี้มีแรงงานรอขึ้นทะเบียน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ทำอยู่ แต่ยังไม่ครบ เพราะมติ ครม.ปรับไปมา เพราะฉะนั้น ต้องทำให้นิ่งเสียที”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

————–

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →