
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 กองทัพกะเหรี่ยงประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army -DKBA) ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า องค์กรกำลังต่อสู้กับการค้ามนุษย์และจะทำงานร่วมกับประชาคมนานาชาติเพื่อให้โอกาสการดำรงชีวิตและการจ้างงานแก่ประชาชนในท้องถิ่น หากมีการร้องขอจากสถานทูตต่างๆ รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตพม่า เกี่ยวเหยื่อการค้ามนุษย์ที่พบในในเขตควบคุมของตน พร้อมที่จะส่งต่อ รวมถึงจะป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดภายในพื้นที่ควบคุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันพื้นที่ที่อยู่ในการควบคุมดูแลของ DKBA อยู่ที่พื้นที่ช่องแคบ ริมแม่น้ำเมยฝั่งเมืองเมียวดี ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก และพื้นที่พญาตองซู ในพื้นทีตรงข้ามกับด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี โดยแหล่งอาชญากรรมช่องแคบนั้น ถูกกล่าวถึงความโหดเหี้ยมกว่าแหล่งอื่นๆ โดยพื้นที่นี้ได้รับความสนใจมากภายหลังจากการทลายแหล่งอาชญากรรมในเมืองเล้าก์ก่าย ในเขตปกครองพิเศษโกก้างในรัฐฉานเหนือซึ่งติดกับชายแดนจีน โดยเหล่ามาเฟียจีนต่างย้ายฐานธุรกิจผิดกฎหมายมาอยู่ในพื้นที่นี้ ทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจอย่างรวดเร็วและมีชาวต่างชาติจำนวนมากถูกกักขังและบังคับให้ทำงานหลอกลวงออนไลน์

ด้าน ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งทำวิจัยและเขียนหนังสือเรื่อง “ทุนนิยมคาสิโน” กล่าวว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาครบวงจร เพราะไม่เช่นนั้นแก๊งค์คอลเซนเตอร์จะย้ายฐานและก็ไปทำเหมือนเดิมในพื้นที่อื่นๆอีก
“รัฐบาลต้องกวาดล้างธุรกิจค้ามนุษย์ ทำลายแหล่งฟอกเงินที่มีฐานในไทย บังคับให้ธนาคารและบริษัทด้านโทรคมนาคม ร่วมผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น จริงๆแล้วเคยเสนอให้ตั้งคณะทำงานเรื่องนี้โดยเฉพาะกานรบูรณาการทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน และมีอำนาจเต็ม แต่ไม่มีใครสนใจ ทำให้เห็นตัวอย่างชัดกรณีตัดไฟฟ้า ที่โยนกันไปมา เพราะไม่มีเจ้าภาพ”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว และว่าปัญหานี้เป็นปัญหาอาเซียนเท่าๆกับที่เป็นปัญหาของไทย ดังนั้นไทยต้องร่วมมือกับเพื่อนบ้านปราบปรามอาชญากรรมนี้ เพื่อไม่ให้ขบวนการเหล่านี้ใช้ทรัพยากรจากแหล่งต่างๆได้
ขณะที่ ศ.ยศ สันตสมบัติ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งทำวิจัยและเขียนหนังสือเรื่อง “มังกรหลากสี” กล่าวว่าจริงๆ แล้วเมื่อดูจากรายชื่อทีมผู้แทนจีนที่มาก็ไม่ได้มีน้ำหนักเชิงนโยบายของจีนสักเท่าไร แต่ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่งเพราะการลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหานี้ของผู้แทนจีนทำให้รัฐบาลไทยสะดุ้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการร้องเรียนให้รัฐบาลช่วยเหลือเหยื่อจากประเทศต่างๆ จำนวนหลายพันคนมานานหลายเดือน แต่ไม่มีการดำเนินการ มองเรื่องนี้อย่างไร ศ.ยศกล่าวว่า “ผมเข้าใจว่าเงินของพวกมาเฟียจีนมันถึง เขาจ่ายให้คนไทยหลายพันล้านบาท พวกเขาเส้นใหญ่มาก เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่น การตัดไฟฟ้า ที่ทำได้เลย ยังโยนกันไป โยนกันมา ด้านหนึ่งอาจเป็นเรื่องชิงไหวชิงพริบระหว่างพรรคร่วม แต่อีกด้านหนึ่งน้ำเงินก็ไม่ฉลาดเลย แล้วจะเอาคนแบบนี้มาเป็นนายกฯ หรือ?”
(อ่านเพิ่มเติมในสัมภาษณ์พิเศษ ศ.ยศ ที่ https://transbordernews.in.th/home/?p=41330 )
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำวันเดียวกัน บรรยากาศในเมืองเมียวดียังมีแสงไฟสว่างไสว แม้จะไม่เท่ากับเมื่อค่ำคืนก่อนที่ทางการไทยจะตัดไฟฟ้า เช่นเดียวกับบริเวณแหล่งอาชญากรรมทั้งหลาย เช่น ชเวก๊กโก่ เคเคปาร์ค ยังคงเปิดไฟตามปกติ โดยใช้เครื่องปั่นไฟผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการกักตุนน้ำมันไว้จำนวนมากเพื่อปั่นไฟฟ้า
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาได้มีการสั่งซื้อแผงโซล่าเซลล์จากฝั่งไทยจำนวนมาก เนื่องจากแต่ละบ้านต่างต้องการพลังไฟฟ้าทดแทนหลังจากที่ประเทศไทยสั่งตัดไฟ

ด้านเครือข่ายเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ได้ส่งหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามความคืบหน้าของปฏิบัติการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน 110 ราย จาก 9 ประเทศ ซึ่งได้ร้องขอเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งผู้เสียหายถูกกักขังโดยขบวนการอาชญากรข้ามชาติชาวจีนซึ่งอยู่ในพื้นที่ควบคุมของ DKBA และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ในเมียนมา
“นับเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนแล้ว แต่ไม่มีการรายงานหรือกล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามช่วยเหลือผู้เสียหายกลุ่มดังกล่าวจากหน่วยงานภาครัฐแต่อย่างใด ขณะที่จำนวนผู้ เสียหายได้เพิ่มขึ้นเป็น 6,500 ราย โดย 5,000 รายอยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลัง DKBA และในจำนวนนี้ 4,500 รายเป็นพลเมืองจีน ผู้ เสียหายส่วนใหญ่ถูกหลอกให้เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย ผ่านทาง Social Media Platform ต่างๆ และโดยการชักจูงของนายหน้าซึ่งแฝงตัวไปในประเทศต่างๆ”หนังสือระบุ
———-