
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครองพิเศษชเวโก๊กโก่ เมืองเมียวดี ประเทศพม่า เปิดเผยถึงกรณีที่กองกำลัง BGF(Karen Border Guard Force ) นำโดย พอ.ชิตตู ได้เปิดปฎิบัติการสำรวจและคัดแยกชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในชเวโก๊กโก่ ว่าการดำเนินการเริ่มตั้งแต่เช้าโดยได้เรียกหัวหน้าอาคารลงมาก่อน เพื่อถามว่ามีผู้อยู่ในอาคารมีกี่คนซึ่งส่วนใหญ่มีอยู่ราว 200 คน จากนั้นให้หัวหน้าชุดแยกชาวต่างชาติออกเป็นแต่ละประเทศ และมีใครบ้างที่อยากกลับประเทศ
แหล่งข่าวกล่าวว่า ได้มีการแจกแบบสอบถาม เพื่อให้ชาวต่างชาติกรอกข้อมูลทั้งเรื่องข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทั่วไป นอกจากนี้ยังถามว่าทราบงานที่นี่ผ่านช่องทางใด พร้อมทั้งให้กรอกประสบการณ์การเดินทางที่ผ่านมาจากประเทศไทยจนมาถึงพม่า และยังให้กรอกเล่าประสบการณ์ที่พบระหว่างทำงาน เช่น มีการทารุณกรรมหรือไม่ หากถูกทารุณกรรมให้เล่าด้วยว่าด้วยวิธีการใด และคุณเคยถูกซื้อขายหรือไม่


แหล่งข่าวกล่าวว่า พอ.ชิตตูได้แสดงความจำนงค์ที่จะส่งชาวต่างชาตินับหมื่นคนให้ประเทศไทยโดยในเบื้องต้นมีราว 7 พันคนที่สามารถส่งได้เลย แต่เมื่อประสานมายังทางการไทย กลับได้รับคำตอบว่ายังไม่พร้อมรับคนเหล่านี้โดยให้เหตุผลว่าต้องรอหารือกับเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆที่จะจัดประชุมในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
“พอ.ชิตตู่ค่อนข้างหนักใจ เนื่องจากตอนนี้ได้มีการเอาชาวต่างชาติออกมาจากบริษัทต่างๆแล้ว ซึ่งได้นำมารวมกันอาคารหลังหนึ่งโดยมีทหาร BGF คอยคุ้มกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงกลายเป็นภาระของ BGF ทั้งหมดโดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงดู และอาหารในชเวโก๊กโก่มีราคาสูงกว่าใน อ.แม่สอด หลายเท่า” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้มาเฟียจีนในระดับผู้บริหารหรือบอส ต่างย้ายหนีไปอยู่ที่เมืองพะอันซึ่งเป็นเป็นเมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยงหมดแล้ว ขณะเดียวกันมีผู้หญิงไทยราว 700 คนที่ทำงานอยู่ในสถานบริการต่างๆในเคทีวี(คาราโอเกะ)ซึ่งแต่ละคนสามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้เลยเพราะทุกคนเดินทางไปอย่างเต็มใจ
ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนข้อความลงเฟสบุคถึงกรณีที่กองกำลังกะเหรี่ยง BGFสำรวจคัดแยกชาวต่างชาติที่ทำงานในชเวโก๊กโก่ ว่าบิ๊กบอสจีนระดับนำหลบไปอยู่ที่เมืองพะอันกันหมดแล้ว ที่กวาดต้อนกันมามีแต่ระดับพนักงานระดับล่าง ที่น่าสังเกตคือในขณะที่ชเวโก๊กโก่ ระส่ำระสาย เพราะไม่ใช่แค่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่น้ำก็เริ่มขาดแคลน เพราะไม่มีไฟฟ้าที่จะเดินเครื่องสูบน้ำ แต่ KK Park กลับเงียบสนิท และที่สำคัญ KNU วางตัวเฉย ลอยตัวเหนือสถานการณ์อยู่ตอนนี้


ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า ประเทศไทยมี พรบ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีพรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่เราไม่เคยนำมาใช้กับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติไซเบอร์ ไม่ว่าจะกลุ่มย่าไถ้ที่ดำเนินการค้ามนุษย์อยู่ในชเวโก๊กโก่ กลุ่มตงเหม่ยใน KK Park รวมไปถึงองค์กรคอลเซนเตอร์ต่างๆนับพันแห่งที่เช่าที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายในชายแดนไทย พม่า ตลอดจนผู้นำของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยง ไม่ว่าจะเป็น BGF หรือ DKBA (Democratic Karen Buddhist Army )ก็ตาม ทั้งที่อังกฤษ สหรัฐฯ และแคนาดา ได้ประกาศให้ทั้งบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และการค้ามนุษย์ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและฉ้อโกงเงินจำนวนมหาศาลของประชาชนในโลก เป็นอาชญากรไปตั้งนานแล้ว
ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า การประกาศดังกล่าว มีผลตามมาด้วยมาตรการ sanction บุคคล และกลุ่มองค์กรเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการยึดทรัพย์สิน บัญชีธนาคารที่อาชญากรเหล่านี้มีในประเทศที่ทำการ sanction ห้ามอาชญากรเหล่านี้เดินทางเข้าประเทศที่ทำการ sanction และห้ามคนในประเทศ ประกอบธุรกรรมใดๆกับอาชญากรเหล่านี้

“ในบรรดาอาชญากรที่ถูก sanction มีเสอ จื้อเจียง ประธานบริษัทย่าไถ้ที่ติดคุกอยู่ในไทยตอนนี้ และหม่อง ชิดตู่ ผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง BGF ที่ไม่เพียงมีหุ้นส่วนอยู่ในกิจการชเวโก๊กโก่ แต่ยังเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ขนาดใหญ่ในพื้นที่เมียวดีซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของตนเองอีกด้วย การที่ไทยไม่ยอมประกาศรายชื่ออาชญากรเหล่านี้ ไม่ยอมแม้แต่จะออกหมายจับ ทำให้อาชญากรเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ลอยนวล แต่ยังคงสามารถใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ในไทยได้อย่างสบายใจเฉิบ เสอ จื้อเจียง ที่แม้จะอยู่ในคุก แต่ยังสามารถใช้บัญชีและเงินของเขา ซื้อความสะดวกสบายในคุกได้อย่างสุขสำราญ หม่องชิตตู่ที่มีบัญชีและทรัพย์สินมหาศาลในธนาคารไทย ก็ไม่ได้เดือดร้อนอย่างใด จากมาตรการกดดันที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ แถมยังพยายามฟอกขาวตัวเอง เล่นละครเป็นผู้นำการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์ในชเวโก๊กโกะเสียอีก เช่นเดียวกับผู้นำ DKBA และกลุ่มจีนเทาต่างๆ ต่างรีบกระโจนเข้าวงการฟอกขาว ปล่อยตัวเหยื่อมาเล็กๆน้อยๆ เพื่อลดแรงกดดันกันพอเป็นพิธีออกสื่อกันเป็นแถว”ศ.ปิ่นแก้ว ระบุ
ศ.ปิ่นแก้วระบุด้วยว่า การตัดไฟ ตัดเน็ต เป็นมาตรการที่ดีที่รัฐไทยเริ่มมาถูกทาง แต่ไม่พอ และยังไม่ได้เป็นการจัดการกับปัญหาที่ต้นตอ เพราะอาชญากรตัวเอ้ยังคงลอยนวล แถมฟอกขาวตัวเอง เล่นปาหี่สวมบทปราบปรามอาชญากรรมทั้งที่ตัวเองเป็นอาชญากรไปได้เรื่อยๆ
“ดิฉันหวังว่า รัฐไทยจะจริงจังกับการปราบปรามอาชญากรรมนี้ ใช้กฎหมายที่เรามีให้เต็มที่กว่าที่เป็น ทั้งกฏหมายป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และกฏหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกาศให้บุคคลเหล่านี้เป็นอาชญากรและออกมาตรการ sanction ทางการเงิน อย่างเป็นระบบเสียที มาตรการตัดเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์สินอาชญากรเหล่านี้ สามารถทำได้ทันที”ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว