
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 นายชาลี ลอยสูง ที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยให้สัมภาษณ์ถึงการใช้งบประมาณในส่วนบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) สูงถึงปีละ 5 พันล้านบาทว่าไม่เหมาะสม ซึ่งเคยพบว่างบการอบรมของผู้ประกันตนโครงการละ 2 หมื่นบาทที่ให้กับสภาองค์การลูกจ้างบางแห่ง โดยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีผู้เข้าร่วมอบรมอย่างน้อย 40 คน และมีเจ้าหน้าที่ สปส.ไปเป็นวิทยากรในภาคเช้า 3 ชั่วโมง กลายเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานนั้น
“มีการไปฮั้วกับเจ้าหน้าที่ สปส. โดยเอาโครงการนี้มาให้สหภาพแรงงานซึ่งมีสมาชิกเป็นพันคนเซ็นชื่อ ไม่ลงวันที่ ถ้าได้โครงการไป 10-20 รุ่น รุ่นละ 40 คน คิดดูว่าเขาจะได้เงินไปเท่าไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจัดสัมมนากันจริงหรือไม่ ใน 1 ปี มีโครงการอบรมมากถึง 700 รุ่น รุ่นละ 20,000 บาท ได้เงินไปกว่า 15 ล้านบาท ปลายปีที่แล้วผมทำหนังสือให้เขายกเลิกโครงการนี้ ผมร้องเรียนกับคุณมารศรี ใจรังษี เลขา สปส.คนปัจจุบันให้ตรวจสอบว่าโครงการนี้มีการอบรมกันจริงหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ระงับโครงการ มันเป็นการใช้เงินที่หละหลวม เป็นตัวอย่างที่เราเห็นกันชัดๆ แล้วที่มันลึกกว่านั้นที่เราไม่เห็นมันจะไปขนาดไหน” นายชาลี กล่าว

ผู้นำแรงงาน กล่าวอีกว่าสาเหตุที่ทำให้มีการใช้จ่ายที่น่าเชื่อว่าไม่ถูกต้องนั้นเพราะการควบคุมดูแลนำเงินจากกองทุนออกมาใช้ไม่ค่อยเข้มข้นและเขียนกฎหมายหละหลวม ถ้าได้คนดีเข้าไปดูแลก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าได้คนไม่ดีก็จะมีวิธีการซอกแซกเอาไปใช้ได้
“ถามว่าเงินกองทุนนี้เยอะไหม เยอะจริง ๆรวมผู้ประกันตนจากมาตรา 40 ด้วยประมาณ 7-8 ล้านคน เงินมีเยอะถ้าบริหารจัดการไม่ดีมันไม่พอ และเงินจากรุ่นใหม่ไม่เติมเข้ามาจะมีปัญหาเรื่องสถานะของกองทุน ที่เขาห่วงว่าประกันสังคมเงินจะหมดก็เพราะปัญหานี้ อนาคตอีก 10-20 ปี ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงอะไรมันจะหมดได้” ที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าว
นายชาลี กล่าวถึง ปัญหาใหญ่อีกประเด็นหนึ่งที่ กองทุนประกันสังคมกำลังเผชิญคือ คณะกรรมการแพทย์ หนึ่งในคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจาก สปส. เพราะเป็นแพทย์ที่มาจากภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ เวลามีมติก็มักเป็นไปตามผลประโยชน์ที่ให้กับโรงพยาบาลเอกชน แต่แพทย์ที่อยู่ในสถาบันที่มีชื่อเสียงของรัฐก็ไม่ค่อยมี
“แพทย์เอกชนเขาก็จะเอาเงินของประกันสังคมไปเพิ่มนั่นเพิ่มนี่เยอะแยะมากมาย เงินก็ออกไปจากตรงนี้เยอะ ผมไปคุยกับ ผอ.โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ถามเขาว่าทำไมไม่ค่อยดูแลเรื่องยาให้ดี เขาตอบว่าเงินที่ได้จากประกันสังคมตอนนี้น้อย อัตราเงินเฟ้อมาตรฐานทั่วไปของรัฐบาลกับอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์มันไม่ตรงกัน เขาบอกว่าอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์สูงกว่ามาตรฐานระดับชาติเยอะมาก เขายังส่งข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศกับทางการแพทย์มาให้ผมดู มันไม่ตรงจริงๆ ทำไมเขาคิดกันอย่างนั้น ผมก็งง มันก็เลยมีการมาของบประมาณเพิ่มจิปาถะ คณะกรรมการแพทย์นี่สำคัญมากนะ ที่ไปดูงานก็แพทย์ทั้งนั้น” นายชาลี กล่าว
ที่ปรึกษา คสรท. กล่าวว่า สาเหตุที่ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมีการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม รัฐมนตรีแรงงานไม่มีอำนาจในการปลดบอร์ด
“ผมคิดว่าประกันสังคมต้องออกมาเป็นองค์กรอิสระ อยู่ภายใต้รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเหมือนเดิม แต่บริหารจัดการเป็นอิสระ ไม่ใช่เอาข้าราชการมาบริหารจัดการ จะได้มีการบริหารที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังไม่ให้ตรวจสอบ เขาบอกว่างบมันใหญ่มาก พูดแบบนี้มันก็โกงกันระเบิดเถิดเทิง ผมคิดว่าใหญ่ขนาดไหนมันก็ต้องตรวจสอบได้ เอามืออาชีพมาบริหารและลงทุนแบบเอกชน มันจะได้ก้าวหน้ากว่านี้ เงินในกองทุนเป็นของผู้ประกันตนกับนายจ้างแล้วให้ข้าราชการมาบริหารทั้งหมดมันถูกต้องหรือเปล่า” นายชาลี กล่าว

ด้านนายชลิต รัษฐปานะ หนึ่งในบอร์ดประกันสังคมฝ่ายลูกจ้าง ทีมประกันสังคมก้าวหน้า กล่าวถึงการจัดซื้อจัดจ้างของ สปส.ที่ทางทีมงานเข้าไปตรวจสอบพบว่าเป็นวิธีจัดซื้อจัดจ้างวนเวียนอยู่กับผู้รับจ้างเจ้าเดิมๆ
“มีการใช้บริษัทที่ดูไม่ค่อยเหมาะสม เห็นชัดว่าเป็นบริษัทเดิมๆที่แค่เปลี่ยนชื่อเข้ามา ถ้ามองผิวเผินอาจไม่เห็น แต่มีความไม่ชอบมาพากลอีกเยอะ เรียกว่าอาจจะทำกันมานานจนชิน เช่น งบประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับแรงงาน หรืองบอบรมที่อยู่กับสภาแรงงานเท่านั้น ในอดีตจะเอาเงินประกันสังคมไปช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของแรงงาน โดยเอางบไปลงกับสภาแรงงานว่าอบรมได้กี่รุ่นก็เอาเงินไป ของพวกนี้ถูกล็อคอยู่ในกลุ่มคนวงเล็กๆ การเข้าไปเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้คนกลุ่มนี้ไม่พอใจ” นายชลิต กล่าว
ทีมงานกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้ารายนี้ กล่าวอีกว่า ต้องแก้ไขการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น บริษัทที่เข้ามาจัดซื้อจัดจ้างห้ามนำไปให้คนอื่นอีก 4-5-6 ทอด เพราะมีเคสมาซื้อซองจากประกันสังคมแล้วไปจ้างคนอื่นทำ คนอื่นก็ไปจ้างคนอื่นอีก สรุปแล้วคนที่ทำได้เงินเท่าไรจากยอดที่เราให้ไป ซึ่งสามารถกำหนดในทีโออาร์ได้ว่าห้ามจ้างต่อเกินกี่ช่วง
“แต่โครงการพวกนี้ก็เขียนโดยข้าราชการ หรือคนที่อยู่ใน สปส.แล้วมีความจำเป็นหาวิธีให้เกิดการพัฒนาในการเขียนโครงการ หลายเรื่องส่อทุจริตจากระบบที่เทอะทะไม่เอื้อให้คนที่อยากทำงานได้ทำงานจริงๆ หลายคนถูกกลั่นกรอง โดนเคาะ เขียนขออะไรก็ไม่ผ่าน ดังนั้นเลยเกิดวิธีการเขียนแบบซ้ำๆเดิมๆ ก๊อปปี้งานเก่ามาแปะเพื่อให้มันผ่านได้ง่าย ทำให้การเขียนจัดซื้อจัดจ้างไม่พัฒนาแล้วยังเกิดช่องว่างให้วิธีบางอย่างที่ผ่านประจำ แล้วมีคนเอามุกแบบนี้ไปเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม เป็นการเขียนจัดซื้อจัดจ้างให้เข้าทางคนที่นัดกันไว้ค่อนข้างง่าย ถ้าทีโออาร์โปร่งใสตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา” นายชลิต กล่าว
ในส่วนการผลิตปฏิทินที่เป็นกระแสข่าว นายชลิต กล่าวว่ามีหลายคนอาจจะยังไม่ทราบก็คือการผลิตปฏิทินนำไปแจกที่ไหนบ้างแล้วคนได้รับจริงหรือไม่
“รัฐมนตรีแรงงานบอกว่าเอาให้เกษตรกรซึ่งเหมือนจะไม่จริง แต่ไปที่สภาแรงงาน คือมีคนที่รับของจากประกันสังคมอย่างสม่ำเสมออยู่ประมาณหนึ่ง เรียกว่าผลิตซ้ำๆให้คนซ้ำๆ งานประชาสัมพันธ์จะอยู่ในลูปประมาณนี้ แม้รัฐมนตรีจะบอกว่าเป็นการใช้งบแค่ 3 เปอร์เซ็นต์แต่เมื่อเราเจาะลงไปก็พบว่ามีความแปลกประหลาดอยู่จริง ปัญหาคือไม่มีคนกำหนดนโยบาย ไม่มีทิศทางที่อยากให้ประกันสังคมไป การเข้าไปบรีฟกับเอเจนซี่ก็ทำได้ยากกับการจ้างให้เขาทำงาน 1 ปี แล้วบอกว่ามาตรา 33 มีสิทธิอะไรบ้าง สื่อที่ออกไปก็เหมือนเดิม เรากำลังรีแบรนดิ้งใหม่ภายในคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูแบรนดิ้ง ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดก็อยู่ในระบบราชการ กว่าจะทำอะไร พูดคุยให้ข้าราชการเข้าใจ ตอนนี้ก็เลยยังอยู่ในขั้นตอนนี้อยู่” นายชลิต กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันพรุ่งนี้ 25 กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า โดยนายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี และคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน ได้นัดสื่อมวลชลแถลงข่าวถึงแนวทางการทำงานเพื่อปฏิรูปสำนักงานประกันสังคม และความคืบหน้าการประชุมบอร์ด โดยมีประเด็นที่เตรียมผลักดันคือให้เปิดเผยรายงาน ไลฟ์สดการประชุม รวมถึงตรวจสอบการเบิกจ่ายค่าการแพทย์ แผนปฏิรูปบุคลากรการลงทุน ณ ห้องประชุมอาคารอเนกประสงค์ ชั้น 3 สำนักงานใหญ่ สำนักงานประกันสังคม (นนทบุรี)



