
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 สำนักข่าวลาว Laotian Times และเพจวาละสานลาว ระบุว่าอดีตรองผู้อำนวยการการไฟฟ้าลาว(EDL) และผู้รับเหมา 4 ราย ซึ่งเป็นต่างชาติ 1 ราย กำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตและฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐในโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำหินบูน บ้านทุละคม เมืองคูนคำ แขวงคำม่วน ทางตอนกลางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว โดยเป็นโครงการภายใต้การดำเนินการของไฟฟ้าลาว(EDL) มูลค่าการลงทุนกว่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้รับสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย โดยเขื่อนไฟฟ้าน้ำหินบูน มีกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ วางแผนจะผลิตไฟฟ้าได้ 155 ล้านหน่วยกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี เพื่อส่งไฟฟ้าไปยังภาคกลางของลาวด้วยสายส่ง 115 กิโลวัตต์ ที่เชื่อมต่อกับสถานีไฟฟ้าขนส่ง ที่เมืองปากกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ
สื่อลาวระบุว่าหน่วยงานตรวจการของรัฐบาลลาว ได้ติดตามกระบวนการก่อสร้างเขื่อนนี้เนื่องจากความล่าช้า โดยพบว่าการก่อสร้างคืบหน้าเพียง 70 % ในขณะที่ผู้รับเหมาก่อสร้างได้รับเงินค่าการก่อสร้างไปแล้ว จำนวน 88,750,341 เหรียญสหรัฐ หรือ 98.64 % ของมูลค่าการลงทุนโครงการ ในสัญญาฉบับเดิมกำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2559 อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างโครงการเขื่อนแห่งนี้ยังไม่แล้วเสร็จตามแผน เจ้าของโครงการได้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 3 ปี แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จและไม่สามารถผลิตไฟได้ตามกำหนด ความล่าช้าดังกล่าวได้ส่งผลให้รัฐบาลลาวต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถผลิตไฟได้และยังต้องรับผิดชอบในการชำระเงินกู้ยืมจากธนาคารต่างประเทศเพื่อใช้ในโครงการซึ่งถือเป็นภาระทางการเงินของประเทศสื่อสาวระบุว่าขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้คือ อดีตผู้รองผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว อดีตหัวหน้าฝ่ายการก่อสร้างเขื่อน อดีตหัวหน้าและรองหัวหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อน พร้อมด้วยประธานบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นคนต่างชาติ 1 คน การสืบสวนจนถึงปัจจุบันนี้ได้มีความคืบหน้าและมอบสำนวนคดีส่งต่อให้อัยการ นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเข้มงวด
สื่อสาวระบุว่าขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้คือ อดีตผู้รองผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว อดีตหัวหน้าฝ่ายการก่อสร้างเขื่อน อดีตหัวหน้าและรองหัวหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อน พร้อมด้วยประธานบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นคนต่างชาติ 1 คน การสืบสวนจนถึงปัจจุบันนี้ได้มีความคืบหน้าและมอบสำนวนคดีส่งต่อให้อัยการ นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเข้มงวด