
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนภาคประชาสังคมไทย-เมียนมา นำโดยนายวิชัย จันวาโร ผู้ประสานงานมูลนิธิเสมสิกขาลัย (SEM) ได้ยื่นจดหมายถึงรัฐบาลไทยเพื่อร้องเรียนให้ยกเลิกการเชิญ พล.อ.มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า เข้าร่วมประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation-BIMSTECหรือ บิมสเทค) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2568 ที่กรุงเทพมหานคร
นายวิชัยกล่าวระหว่างการยื่นหนังสือว่า แม้แต่หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมากองทัพพม่ายังคงส่งอากาศยานโจมตีประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมบิมสเทคที่มีวาระเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จะทำให้กองทัพพม่าสามารถซื้ออาวุธนำไปประหัตประหารประชาชนชาวพม่าอีก จึงขอให้รัฐบาลไทยงดการเชิญผู้แทนทหารพม่ามาร่วมประชุมครั้งนี้ และไม่เชิญตัวแทนทหารอื่นใดจากกองทัพพม่าเข้าร่วมประชุม โดยการบระชุมบิมสเทคที่วางแผนไว้ยังคงสามารถดำเนินการได้
นายวิชัยกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์แผ่นดินไหวในพม่าตอนนี้รุนแรงมาก การกู้ภัยเป็นไปอย่างลำบาก ทหารพม่าควรเปิดโอกาสให้ส่งความช่วยเหลือไปยังประชาชนผู้ประสบภัยในทันที เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากข้อมูลที่ทราบมาเวลานี้ มีคนจำนวนเพียงน้อยนิดที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปช่วย ในขณะที่ภูมิภาคสะกาย ซึ่งอยู่อีกฝั่งแม่น้ำอิรวดีซึ่งเป็นศูนย์กลางแผ่นดินไหวยังไม่มีการอนุญาตให้ส่งความช่วยเหลือเข้าไปได้แต่อย่างใด เราคาดการณ์ว่าเพราะภูมิภาคสะกายเป็นพื้นที่ที่ทหารพม่า SAC (สภาบริหารแห่งรัฐ- State Administrative Council) ไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ จึงไม่ให้องค์กรไหนเข้าไปช่วยเหลือ แต่ประชาชนที่สะกายได้รับผลกระทบรุนแรงหนักมาก

“เราขอให้รัฐบาลไทยเรียกร้องให้ทหารพม่าเปิดให้มีความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในพม่าและให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปรายงานข่าวเพื่อให้ประชาคมนานาชาติได้รับรู้และส่งความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที”นายวิชัย กล่าว
ทั้งนี้จดหมายที่ยื่นถึงรัฐบาลไทยและประเทศสมาชิกบิมสเทค ร่วมลงนามโดยภาคประชาสังคมจากทั่วโลก 319 องค์กร โดยผู้แทนศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่มารับหนังสือกล่าวว่า จะรีบนำเสนอนายกรัฐมนตรีในทันที
หลังจากนั้นกลุ่มผู้คัดค้านการมาเยือนไทยของ พล.อ.มิน อ่อง หลาย ยังเดินทางไปยื่นหนังสือนี้ที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตบังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เนปาลและ ศรีลังกา
สำหรับเนื้อหาบางส่วนในจดหมายระบุว่า ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและผู้นำ BIMSTEC แสดงจุดยืนคัดค้านผู้นำทหารที่ผิดกฎหมาย และการก่ออาชญากรรมระดับสากลของพวกเขา โดยการห้ามไม่ให้ พล.อ.มิน ออง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC และห้ามไม่ให้ตัวแทนทุกคนของกองทัพเมียนมาและผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เข้าร่วมการประชุมและร่วมกิจกรรมใดๆ ของ BIMSTEC
จดหมายระบุว่านับแต่ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมาได้ทำการสังหารหมู่ โจมตีทางอากาศอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ระดมยิงปืนใหญ่ ก่อเหตุความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ สังหารหมู่และวางเพลิงสถานที่จำนวนมาก ทั้งยังได้จับกุมบุคคลโดยพลการกว่า 28,900 คน ในแต่ละปี กองทัพเมียนมายังได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเช่นกัน กองทัพเมียนมาได้ทำการโจมตีทางอากาศ 4,631 ครั้ง รวมทั้งในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศ สถานพยาบาล โรงเรียน และศาสนสถาน การก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงนี้เป็นการละเมิดต่อกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันจึงมีผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศแล้วกว่า 3 ล้านคน กองทัพเมียนมากระทำการเข้ากับหลักเกณฑ์ที่จัดว่าเป็น องค์กรก่อการร้าย ทั้งตามกฎหมายในประเทศของเมียนมา และตามที่นิยามในกฎหมายระหว่างประเทศ
“ความทารุณของกองทัพเมียนมารุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยได้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมระหว่างประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะพิจารณาจากนิยามใด กองทัพเมียนมาไม่ถือว่าเป็นรัฐบาล และจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนชาวเมียนมาเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมหรือการประชุมใด ๆ ของ BIMSTEC ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในระดับใด หรือไม่ว่าจะเป็นตัวแทนใดจากกองทัพ”จดหมายระบุ
นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวว่าไม่ควรเชิญ พล.อ.มินอ่องหลายมาเลย การเชิญมายิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องที่ว่าไทยสนับสนุนทหารพม่าหลายๆ เรื่องเป็นความจริง รวมทั้งกรณีต่างๆ ที่ชายแดน หากเชิญพม่าในฐานะประเทศสมาชิก ควรเชิญปลัดกระทรวงของพม่าก็พอได้ การเชิญผู้นำนั้นไม่ควร โดยหลักการคือเชิญชาติสมาชิก ไม่ควรเชิญทหาร
“ตอนนี้ไทยมีข้อหาข้อครหากับจีนอยู่แล้ว หากมีเรื่องพม่ามาเพิ่มก็จะไปกันใหญ่ สำหรับแรงงานและผู้ลี้ภัยปัญหาก็จะไม่ได้ดีขึ้น เพระพม่าไม่ได้มีความพร้อมทางเศรษฐกิจ การเชิญมาประชุมครั้งนี้เป็นการฟอกขาวให้พม่ามากกว่า”นายอดิศร กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่า อาจเป็นการปูทางไว้สำหรับการเจรจาสันติภาพในพม่าซึ่งผู้นำไทยต้องการเป็นแกนนำ นายอดิศรกล่าวว่า เวลาที่เหมาะสมนั้นได้เลยมาแล้ว ไทยไม่ชัดเจนเลยว่าเจรจาเรื่องอะไร ใครจะเจรจาบ้าง ไทมไลน์คืออะไร หากไทยตอบไม่ได้ ก็ไม่ควร และบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ฯลฯ ก็ไม่ชัดเจน ควรใช้วิธีอื่นๆ เช่น อาเซียน อาจดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า อาจเป็นการปูทางไว้สำหรับการเจรจาสันติภาพในพม่าซึ่งผู้นำไทยต้องการเป็นแกนนำ นายอดิศรกล่าวว่า เวลาที่เหมาะสมนั้นได้เลยมาแล้ว ไทยไม่ชัดเจนเลยว่าเจรจาเรื่องอะไร ใครจะเจรจาบ้าง ไทมไลน์คืออะไร หากไทยตอบไม่ได้ ก็ไม่ควร และบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ฯลฯ ก็ไม่ชัดเจน ควรใช้วิธีอื่นๆ เช่น อาเซียน อาจดีกว่า



