
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ดร.จักรกริช ฉิมนอก อาจารย์โปรแกรมศิลปกรรมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายในฐานะผู้ประสบภัยในเหตุการณ์น้ำ-โคลนท่วมทะลัก อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อเดือนกันยายน 2567 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พบว่ามีการเปิดหน้าดินวงกว้างเพื่อทำเหมืองทองบริเวณต้นแม่น้ำกกในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า ว่าเห็นข่าวแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และจนถึงขณะนี้ไม่มั่นใจในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะยังไม่เห็นความชัดเจนในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
ดร.จักรกริชกล่าวว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลถึงแผนการหรือการดำเนินงานใดๆที่เกี่ยวกับการรับมือน้ำท่วม ขณะเดียวกันมีข้อสังเกตดินโคลนที่มากับน้ำท่วมมีสีเหลืองข้น เนื้อเหนียว ละเอียด ซึ่งปกติในฤดูกาลนี้น้ำในแม่น้ำกกจะมีความใสสะอาดจนมองเห็นกรวดหินและทรายที่พื้นด้านล่าง แต่ในปีนี้น้ำกกกลับสีขุ่นข้นโดยอาจเป็นผลจากการถูกชะล้างในกระบวนการการทำเหมืองจึงทำให้ดินถูกชะล้างตลอดเวลาและไหลลงสู่แม่น้ำกก



น.ส.กษมา อายิ ผู้อำนวนการกลุ่ม ฅ ฅน เพื่อการเปลี่ยนแปลง จ.เชียงราย กล่าวว่า รัฐบาลควรสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการเตือนภัยพิบัติ เพราะเป็นแนวทางที่ช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ภาครัฐอาจเข้าถึงได้ล่าช้า หรือในกรณีที่ภัยพิบัติเกิดขึ้น อย่างฉับพลัน เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วมในพื้นที่ จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2567
น.ส.กษมากล่าวว่า เหตุผลที่ชุมชนควรมีบทบาทในการเตือนภัย เนื่องจากชุมชนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และคนในพื้นที่เป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ดังนั้นการมีระบบเตือนภัยที่ชุมชนจัดการเองจะช่วยให้รับมือได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ชุมชนยังรู้จักพื้นที่และความเสี่ยงดีกว่าใคร ชาวบ้านมักมีความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศ เส้นทางน้ำหลาก จุดเสี่ยงดินถล่ม หรือพื้นที่ที่เสี่ยงต่อไฟป่า ทำให้สามารถพัฒนาแนวทางเตือนภัยที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
“การรอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐอาจใช้เวลานาน แต่หากชุมชนมีระบบแจ้งเตือนกันเอง เช่น ใช้เสียงตามสาย กลุ่มไลน์ หรืออาสาสมัครเฝ้าระวัง จะสามารถช่วยให้คนในพื้นที่เตรียมตัวรับมือได้ทันท่วงที ลดความสูญเสียและเพิ่มโอกาสรอดชีวิต การให้ชุมชนมีบทบาทในระบบเตือนภัยพิบัติ ทำให้ในพื้นที่เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมในการดูแลกันเอง ลดการพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางได้ดีกว่า”น.ส.กษมา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้สั่งการให้สมาชิก อส.อ.แม่อาย ลงพื้นที่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสิ่งแวดล้อม และควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กองบังคับการควบคุมทหารพราน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน ตรวจสอบคุณภาพดินในลำน้ำกกและเก็บตัวอย่างดินเพื่อตรวจสอบหาสารปนเปื้อน โดยได้เก็บตัวอย่างดินในเพื่อนำไปตรวจสอบคุณภาพ จำนวน 3 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 ชายแดนไทย-พม่า จุดที่ 2 สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่าง หมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง จุดที่ 3 บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ทั้งนี้ได้นำตัวอย่างดินจากทั้ง 3 จุด ตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินอย่างละเอียด ในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานคุณภาพดินในลำน้ำกก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบประมาณ 15 วัน เพื่อตรวจหาความปนเปื้อนต่อไป
ทั้งนี้ได้นำตัวอย่างดินจากทั้ง 3 จุด ตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินอย่างละเอียด ในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานคุณภาพดินในลำน้ำกก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบประมาณ 15 วัน เพื่อตรวจหาความปนเปื้อนต่อไป



