
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิภาจังหวัดเชียงรายและกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) พร้อมทีมงานมูลนิธิพชภ. ได้ไปลงพื้นที่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยน้ำกกพร้อมโคลนหลากท่วมเมื่อปีที่ 2567 ทั้งนี้ชาวบ้านได้แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าน้ำกกอาจจะหลากมาท่วมบ้านเรือนเสียหายซ้ำอีกในฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ ที่สำคัญคือภายหลังตรวจพบว่ามีสารโลหะหนักปนเปื้อนน้ำในแม่น้ำกก ทำให้ชาวบ้านรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามทางมูลนิธิพชภ. ได้แจ้งว่า มูลนิธิฯร่วมกับเครือข่ายชุมชนตลอดลำน้ำกก 7 หมู่บ้าน ดำเนินการหารือเตรียมการรับมือน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นอีก
นางเตือนใจกล่าวอีกว่า ชาวบ้านได้รับแจ้งจากภาครัฐว่าขณะนี้น้ำกกปนเปื้อนสารพิษ ห้ามไม่ให้ใช้น้ำกกโดยตรง ทำให้เด็กๆ ลงเล่นน้ำก็ไม่ได้ ขณะที่ชาวบ้านที่ลงทุนค้าขายเพื่อรับการท่องเที่ยวไว้ก็เสียหายขาดทุน วิถีชีวิตที่พึ่งพาแม่น้ำกกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยวัวควายที่เลี้ยงไว้จะกินน้ำในแม่น้ำกกก็ไม่ได้ ชาวบ้านที่ปลูกผักริมน้ำ ทำนา พืชผลเกษตร ก็ใช้น้ำในการเกษตรไม่ได้
“ชาวบ้านที่ท่าตอนเล่าวว่า เครือญาติที่อยู่ในฝั่งรัฐฉาน ทั้งที่เมืองกก เมืองสาด เมืองยอน ต่างรู้ว่าน้ำหลากท่วมมาจากตอนบน จนไปท่วมเมืองเชียงรายในครั้งที่ผ่านมา เพราะมีการเปิดหน้าดินอย่างมโหฬาร เพื่อทำสวนยางพารา และทำเหมืองแร่ เป็นทุนจากจีน รวมถึงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของทุนไทย หากรัฐบาลไทยคุยกับรัฐบาลจีนน่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหานี้ได้”นางเตือนใจ กล่าว

วัวควายเดือดร้อนถ้วนหน้าหลังน้ำกก-สายปนเปื้อนสารหนู-ใช้น้ำทำการเกษตรไม่ได้ “ครูแดง”แนะเร่งแก้ปัญหาต้นเหตุ “ดร.ลลิตา”เผยว้าตั้งหน่วยให้สัมปทานเหมืองแร่ จี้หารือทางการจีนช่วยปราม
———-
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิภาจังหวัดเชียงรายและกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) พร้อมทีมงานมูลนิธิพชภ. ได้ไปลงพื้นที่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยน้ำกกพร้อมโคลนหลากท่วมเมื่อปีที่ 2567 ทั้งนี้ชาวบ้านได้แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าน้ำกกอาจจะหลากมาท่วมบ้านเรือนเสียหายซ้ำอีกในฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ ที่สำคัญคือภายหลังตรวจพบว่ามีสารโลหะหนักปนเปื้อนน้ำในแม่น้ำกก ทำให้ชาวบ้านรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามทางมูลนิธิพชภ. ได้แจ้งว่า มูลนิธิฯร่วมกับเครือข่ายชุมชนตลอดลำน้ำกก 7 หมู่บ้าน ดำเนินการหารือเตรียมการรับมือน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นอีก
นางเตือนใจกล่าวอีกว่า ชาวบ้านได้รับแจ้งจากภาครัฐว่าขณะนี้น้ำกกปนเปื้อนสารพิษ ห้ามไม่ให้ใช้น้ำกกโดยตรง ทำให้เด็กๆ ลงเล่นน้ำก็ไม่ได้ ขณะที่ชาวบ้านที่ลงทุนค้าขายเพื่อรับการท่องเที่ยวไว้ก็เสียหายขาดทุน วิถีชีวิตที่พึ่งพาแม่น้ำกกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยวัวควายที่เลี้ยงไว้จะกินน้ำในแม่น้ำกกก็ไม่ได้ ชาวบ้านที่ปลูกผักริมน้ำ ทำนา พืชผลเกษตร ก็ใช้น้ำในการเกษตรไม่ได้
“ชาวบ้านที่ท่าตอนเล่าวว่า เครือญาติที่อยู่ในฝั่งรัฐฉาน ทั้งที่เมืองกก เมืองสาด เมืองยอน ต่างรู้ว่าน้ำหลากท่วมมาจากตอนบน จนไปท่วมเมืองเชียงรายในครั้งที่ผ่านมา เพราะมีการเปิดหน้าดินอย่างมโหฬาร เพื่อทำสวนยางพารา และทำเหมืองแร่ เป็นทุนจากจีน รวมถึงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของทุนไทย หากรัฐบาลไทยคุยกับรัฐบาลจีนน่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหานี้ได้”นางเตือนใจ กล่าว
อดีตสมาชิกวุฒิสภากล่าวว่า ปัจจุบันชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกในทุกพื้นที่ต่างตระหนักรู้ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษ และมีความกังวลว่าจะแก้ไขอย่างไร ที่สำคัญคือเป็นห่วงเรื่องอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริงแก่ประชาชน และรัฐบาลต้องมีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ด้าน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านพม่ากล่าวว่า การที่น้ำในแม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนู กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่ไม่รู้จับมือใครดม แต่สำหรับตนเชื่อว่าทุนจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงแต่หน่วยงานราชการยังเลี่ยงๆ หลบๆที่จะพูดถึงซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะเลี่ยงไปทำไม
“การที่บางหน่วยงานบอกว่าไม่รู้ว่าเหมืองเป็นของบริษัทไหน การจะฟ้องก็ไม่รู้ว่าจะฟ้องใคร แต่คนในพื้นที่ต่างก็รู้กันดี เขาไม่ได้สนใจคนท้ายน้ำเลย ดูตัวอย่างกรณีแม่น้ำโขง เห็นได้ว่าจีนไม่ได้สนใจธรรมภิบาลใดๆ คนที่อยู่ใต้เขื่อนจีนต่างประสบปัญหา เช่นเดียวกับทุนจีนที่เข้ามาทำเหมืองในเขตอารักขาของจีนคือรัฐว้าใต้ ได้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชาวบ้านท้ายน้ำทั้งหมด”ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
นักวิชาการผู้นี้กล่าวว่า ในสังคมไทยเคยมีชาวบ้านที่ประสบปัญหาจากผลการทำเหมืองทองมาแล้วโดยชาวบ้านเป็นโรคแปลกๆ ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่ต้องเหนียมอายที่จะพูดถึงต้นตอ ซึ่งสื่อมวลชนก็ระบุไว้ชัดว่าทีทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งดูได้ใน Google Earth ดังนั้นหากรัฐบาลไทยไม่ทำอะไร ภาคประชาสังคมก็อาจต้องใช้แนวทางการกฎหมายขึ้นมาต่อสู้
“โจทย์ตอนนี้หากเรารู้ว่าเป็นทุนจีนในเขตว้า ซึ่งเป็นพื้นที่รัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลไทยก็คงทำอะไรชนกลุ่มน้อยไม่ได้เลย เพราะยังติดในกรอบเดิม คือต้องดำเนินการโดยรัฐต่อรัฐ หรือ G to G หากไทยส่งทูตหรือผู้ว่าฯ ไปเจรจากับว้าแดงตรงๆ ทางสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (SAC) ก็คงไม่พอใจ และส่งจดหมายมาประท้วง จริงๆรัฐไทยต้องออกจากกรอบนี้ให้ได้ก่อน แล้วมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาให้ประชาชนของเรา ตราบใดที่ประชาชนเราไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐาน basic service แสดงว่ารัฐล้มเหลวแล้ว”ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
ดร.ลลิตากล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า กองทัพสหรัฐว้า (United Wat State Army-UWSA) มีหน่วยงานดูแลเรื่องการให้สัมปทานทำเหมืองแร่ ซึ่งเหมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐว้าใต้ คือเหมืองดีบุก ซึ่งมีการตรวจสอบพบว่าว้าให้สัมปทานทำเหมืองมากขึ้นหลังรัฐประหารในพม่า
“ตอนนี้ไทยต้องคุยกับจีนเพื่อกดดันบริษัทเหมืองทองของชาวจีนในบริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รัฐบาลไทยไม่ควรใช้คำว่าอาจจะเป็นทุนจีน คือตอนนี้ไม่อาจแล้ว มันชัดเจนมากแล้วว่าเป็นบริษัทจีน แต่รัฐบาลไทยอาจยังคิดไม่ออกว่าต้องติดต่อใคร” ดร.ลลิตา กล่าว
อดีตสมาชิกวุฒิสภากล่าวว่า ปัจจุบันชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกในทุกพื้นที่ต่างตระหนักรู้ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษ และมีความกังวลว่าจะแก้ไขอย่างไร ที่สำคัญคือเป็นห่วงเรื่องอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริงแก่ประชาชน และรัฐบาลต้องมีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ด้าน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านพม่ากล่าวว่า การที่น้ำในแม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนู กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่ไม่รู้จับมือใครดม แต่สำหรับตนเชื่อว่าทุนจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงแต่หน่วยงานราชการยังเลี่ยงๆ หลบๆที่จะพูดถึงซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะเลี่ยงไปทำไม
“การที่บางหน่วยงานบอกว่าไม่รู้ว่าเหมืองเป็นของบริษัทไหน การจะฟ้องก็ไม่รู้ว่าจะฟ้องใคร แต่คนในพื้นที่ต่างก็รู้กันดี เขาไม่ได้สนใจคนท้ายน้ำเลย ดูตัวอย่างกรณีแม่น้ำโขง เห็นได้ว่าจีนไม่ได้สนใจธรรมภิบาลใดๆ คนที่อยู่ใต้เขื่อนจีนต่างประสบปัญหา เช่นเดียวกับทุนจีนที่เข้ามาทำเหมืองในเขตอารักขาของจีนคือรัฐว้าใต้ ได้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชาวบ้านท้ายน้ำทั้งหมด”ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
นักวิชาการผู้นี้กล่าวว่า ในสังคมไทยเคยมีชาวบ้านที่ประสบปัญหาจากผลการทำเหมืองทองมาแล้วโดยชาวบ้านเป็นโรคแปลกๆ ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่ต้องเหนียมอายที่จะพูดถึงต้นตอ ซึ่งสื่อมวลชนก็ระบุไว้ชัดว่าทีทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งดูได้ใน Google Earth ดังนั้นหากรัฐบาลไทยไม่ทำอะไร ภาคประชาสังคมก็อาจต้องใช้แนวทางการกฎหมายขึ้นมาต่อสู้
“โจทย์ตอนนี้หากเรารู้ว่าเป็นทุนจีนในเขตว้า ซึ่งเป็นพื้นที่รัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลไทยก็คงทำอะไรชนกลุ่มน้อยไม่ได้เลย เพราะยังติดในกรอบเดิม คือต้องดำเนินการโดยรัฐต่อรัฐ หรือ G to G หากไทยส่งทูตหรือผู้ว่าฯ ไปเจรจากับว้าแดงตรงๆ ทางสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (SAC) ก็คงไม่พอใจ และส่งจดหมายมาประท้วง จริงๆรัฐไทยต้องออกจากกรอบนี้ให้ได้ก่อน แล้วมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาให้ประชาชนของเรา ตราบใดที่ประชาชนเราไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐาน basic service แสดงว่ารัฐล้มเหลวแล้ว”ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
ดร.ลลิตากล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า กองทัพสหรัฐว้า (United Wat State Army-UWSA) มีหน่วยงานดูแลเรื่องการให้สัมปทานทำเหมืองแร่ ซึ่งเหมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐว้าใต้ คือเหมืองดีบุก ซึ่งมีการตรวจสอบพบว่าว้าให้สัมปทานทำเหมืองมากขึ้นหลังรัฐประหารในพม่า
“ตอนนี้ไทยต้องคุยกับจีนเพื่อกดดันบริษัทเหมืองทองของชาวจีนในบริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รัฐบาลไทยไม่ควรใช้คำว่าอาจจะเป็นทุนจีน คือตอนนี้ไม่อาจแล้ว มันชัดเจนมากแล้วว่าเป็นบริษัทจีน แต่รัฐบาลไทยอาจยังคิดไม่ออกว่าต้องติดต่อใคร” ดร.ลลิตา กล่าว