Search

“ครูปุ๊” เผยเหตุผลรับเด็กไม่มีเอกสารทะเบียนราษฎร์เข้าเรียน ขณะที่ ผอ.ไร่ส้มวิทยา” ใช้ความยืดหยุ่นช่วยจัดระบบศึกษาให้เด็กไร้สถานะ ชี้ “เด็กบ้านเรียน”ฝากชื่อเข้าศูนย์การเรียนมากขึ้น-แก้ปัญหาจัดทำเอกสารยุ่งยาก

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 นางกัลยา ทาสม หรือ “ครูปุ๊” อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหานำพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและให้ที่พักพิง ร่วมกับมาตรา 157 โดยอัยการนัดส่งตัวที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ที่จะถึงนี้ เปิดเผยว่า มีคนในสังคมส่วนหนึ่งวิจารณ์การรับเด็กไม่มีทะเบียนราษฎร์หรือไม่มีสัญชาติไทยเข้ามาเพื่อหวังงบรายหัวมีผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งไม่เป็นความจริงตามที่หลายคนเข้าใจ

“ดิฉันได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 มีนักเรียน 12 คน ข้าราชการครู 1 คน ครูอัตราจ้าง 1 คน และเจ้าหน้าที่ธุรการอีด 1 คนเท่านั้น โรงเรียนนี้เคยรองรับนักเรียนได้มากถึงหลักพันคน ยังมีทรัพยากรพื้นฐานครบถ้วน อาทิ อาคารเรียนไม้ 2 ชั้น 12 ห้อง ห้องวิทยาศาสตร์และห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ 2 ห้อง มีคอมพิวเตอร์ประมาณ 30 เครื่อง อาคารหอประชุม อาคารเรือนนอน 2 หลัง อาคารเอนกประสงค์ 1 หลัง แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพทรุดโทรมขาดการดูแลรักษามาเป็นระยะเวลานาน” ผอ.ปุ๊ กล่าว

นางกัลยา กล่าวว่าวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 เริ่มบริหารจัดการวินัยครู รื้อฟื้นการเรียนการสอนให้เด็กได้เรียน
แม้สิ่งเหล่านี้จะสร้างความไม่พอใจจนนำไปสู่ความขัดแย้งและกลายเป็นเหตุคดีความในเวลาต่อมา แต่ตนไม่ได้ติดใจเพราะตั้งใจแค่ให้เด็กได้พัฒนาตามสมควร เหตุผลที่รับเด็กไม่มีเอกสารทะเบียนราษฎร์หรือไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียนเพราะยังใช้ศักยภาพของโรงเรียนได้ไม่เต็มที่ อาคารและอุปกรณ์พร้อมใช้งานแต่ขาดผู้ใช้ โรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่วัดสระแก้วซึ่งท่านเจ้าอาวาสมีเมตตาสนับสนุนเด็กยากไร้ทั้งหอพัก อาหาร สวัสดิการต่างๆ ในขณะที่โรงเรียนในเครือไทยรัฐวิทยาก็มุ่งช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้พัฒนาศักยภาพเป็นคนดีของประเทศต่อไป

ครูปุ๊กล่าวว่าในขณะที่ประเด็นเรื่องงบประมาณและ G-Code ขอยืนยันว่าเด็กที่ไม่มีเอกสารทะเบียนราษฎร์ต้องใช้รหัสนักเรียน G-Code ในการยืนยันตัวตน เป็นไปตามกฎหมายการศึกษาที่โรงเรียนและหน่วยงานต้นสังกัดต้องดำเนินการ การใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจากกระทรวงเป็นไปตามระเบียบการใช้เงิน ไม่ปรากฏว่าดำเนินการโดยทุจริต ไม่มีเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของครูหรือผู้บริหารโรงเรียน งบทั้งหมดผ่านระบบราชการ

“ดิฉันต้องหาทุนเสริมจากมูลนิธิ ภาคประชาสังคม รวมถึงใช้เงินส่วนตัวเพื่อให้เด็กๆได้มีสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ ดิฉันไม่เคยหวังผลประโยชน์ใดๆจากการทำหน้าที่ การทำหน้าที่ก็ต้องเต็มความสามารถไม่เบียดบังราชการ ไม่เลือกว่าใครควรได้เรียนแต่ทำให้ทุกคนมีสิทธิได้เรียน หากมีคนหนึ่งคนลุกขึ้นมาทำแล้วถูกดำเนินการเช่นดิฉัน ก็คงดีกว่าปล่อยให้ทั้งระบบหลับใหล” นางกัลยา กล่าว

ด้าน นายวีระ อยู่รัมย์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา สำนักงานฝาง ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงการจัดการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนชาติพันธุ์ไทใหญ่และดาราอั้ง 200 กว่าคน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา เพราะให้ทุกองค์กรในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับศูนย์การเรียน

“กรณีครูปุ๊ อดีต ผอ.โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จ.อ่างทอง มีการฟ้องร้องถูกดำเนินคดีนำต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายและให้ที่พักพิงต่างด้าว ครูปุ๊ไม่ได้ถูกดำเนินคดีจากการจัดการศึกษาให้เด็ก ไร่ส้มจดทะเบียนสถานศึกษาเป็นศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 พรบ.การศึกษาแห่งชาติ มีกฎหมายรองรับ จดผ่านสำนักงานการศึกษาพื้นที่เขต เราให้การศึกษาเหมือนโรงเรียนทั่วไป เช้ามาเย็นกลับ เรารู้ว่าถ้าทำหอพักโอกาสเสี่ยงสูงมาก เหมือนที่มูลนิธิบ้านครูน้ำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ก็โดนคดีเดียวกับครูปุ๊ คือนำพาและให้ที่พัก สิ่งที่เขาโดนเพราะเริ่มมีปัญหากันภายใน”นายวีระ กล่าว

นายวีระ กล่าวถึงรายงานของคณะทำงานพิจารณาฯ ที่สะท้อนข้อมูลว่าลูกหลานแรงงานข้ามชาติต้องการหลักสูตรภาษาพม่าในการเรียนหนังสือ เนื่องจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นเรื่อง MLC ซึ่งเคยเกิดขึ้นที่ จ.ระนอง ลูกหลานแรงงานพม่าตามพ่อแม่เข้ามาเรียนหนังสือในไทย โดยอนาคตจะกลับไปเรียนต่อที่พม่า เขาจึงสร้างโรงเรียนขึ้นมามีครูที่เป็นชาวพม่ามาสอน เด็กไม่เรียนโรงเรียนไทยเพราะเขาไม่มีพื้นฐานภาษาไทย

“ที่ไร่ส้มวิทยาตอนแรกๆเด็กเข้ามายังสื่อสารภาษาไทยไม่ค่อยได้กัน สื่อสารภาษาไทใหญ่หรือดาราอั้งในพื้นที่ เราก็เอาเด็กมาปรับภาษาใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนก็พูดไทยได้ แต่ถ้าเขาเรียนในโรงเรียนที่ใช้ภาษาพม่าไม่มีทางที่เขาจะใช้ภาษาไทย MLC เขาเปิดมาเพื่อสอนภาษาพม่าอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเขาจะทำศูนย์การเรียนแบบไร่ส้ม ต้องทำหลักสูตรเป็นภาษาไทย คนพม่าเขาเขียนหลักสูตรการเรียนเป็นภาษาไทยไม่ได้ จะให้ครูของเขาสอนภาษาไทยก็ไม่ได้ เขาต้องการเรียนภาษาพม่าแน่นอนอนาคตเขาอาจจะกลับประเทศต้นทาง ก็มีบางกลุ่มที่มาเรียนในโรงเรียนไทยเพื่อที่จะอยู่ต่อในประเทศไทย ดังนั้นถ้าเราเห็นว่าเด็กเรียนภาษาพม่านั่นคืออนาคตเขาจะกลับแน่นอน แต่ถ้าเรียนปกติคือเขาจะอยู่ในไทยยาว” นายวีระ กล่าว

เมื่อถามว่า ไร่ส้มวิทยาถือเป็นโมเดลการจัดการศึกษาให้กับเด็กไร้สัญชาติได้หรือไม่ นายวีระ ตอบว่าไม่กล้าบอกเป็นโมเดล แต่พยายามจัดการศึกษาให้กับเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย เด็กที่ด้อยโอกาส เข้าถึงการศึกษาได้แบบปกติ

“ที่ไร่ส้มชาวบ้านข้างๆศูนย์การเรียนเขาจะไม่มาเรียนนะ คนไทยปกติเขาก็ไปเรียนข้างนอกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้จะมีอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ปกครองที่ทำบ้านเรียน Home School พ่อแม่ทำหลักสูตรสำหรับลูกตามลำดับชั้นจนจบ ป.6 และมัธยมศึกษา แล้วการทำเอกสารมันเรื่องมากยุ่งยาก สิ่งที่ผู้ปกครองมาคุยคือเอาชื่อลูกมาฝากไว้ที่ไร่ส้ม เราก็บอกว่าเอาชื่อมาฝากได้เลย เพราะไม่มีผู้ปกครองคนไหนสอนลูกให้ไม่ฉลาดหรอก เขาไม่อยากจัดการเอกสาร บ้านเรียนเวลาประเมินสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประเมิน 30% ผู้ปกครองประเมิน 70% ดังนั้นเมื่อเขตเอาข้อสอบไปให้เด็กทำ เด็กทำไม่ได้ แล้วจะบอกว่าเด็กไม่ผ่าน นี่คือการทะเลาะกันของบ้านเรียนกับเขต เพราะเขตเป็นผู้ออกวุฒิการศึกษา เขาเลยหนีด้วยการเอาชื่อลูกมาเรียนที่ไร่ส้ม ผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีผู้ปกครองเอาชื่อลูกมาเรียนที่ไร่ส้มอีกเยอะ นี่คือสิ่งที่เราพยายามทำให้การศึกษายืดหยุ่นและไร้รอยต่อ สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่พูดถึง Thailand Zero Dropout เราพยายามทำให้เป็นโมเดลว่าเด็กทุกคนต้องได้รับการเรียนที่ยืดหยุ่นสำหรับเขา สามารถนำไปต่อยอดได้ โอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้นของเด็กกลุ่มนี้มันยากมาก ตรงนี้คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่” ผู้อำนวยศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา กล่าว

ในขณะที่คนไทยบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการให้การศึกษากับลูกหลานแรงงานข้ามชาติ นายวีระ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องผิด เขาใส่แว่นในมุมของเขาที่มองว่าคนเหล่านี้เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในประเทศไทย มีคนไทยที่แย่อีกเยอะทำไมไม่ช่วย“เขาเห็นภาพแค่นั้น แต่ในมุมที่เราทำ เรามองว่าเด็กคือทรัพยากรในอนาคตของชาติ ถ้าเด็กกลุ่มหนึ่งพัฒนาตัวเองขึ้นมามีศักยภาพการที่ทำงานในประเทศไทยทำให้เศรษฐกิจครอบครัวเขาดีขึ้น เขาก็เสียภาษีเยอะขึ้น รายได้กลับเข้าสู่ประเทศมหาศาล เขาเป็นแรงงานคุณจะให้เขาเป็นแรงงานตลอดชีวิตหรือ ถ้าเขามีฝีมือคุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น ผมมองว่าผมกำลังพัฒนาประเทศชาติภายใต้เด็กกลุ่มนี้ ผมไม่ได้มองเรื่องการศึกษาของคนต่างด้าวหรือไม่ด้าว ไม่แปลกที่เขาจะมองมุมนั้นแต่ผมมองอีกมุม” นายวีระ กล่าว

“เขาเห็นภาพแค่นั้น แต่ในมุมที่เราทำ เรามองว่าเด็กคือทรัพยากรในอนาคตของชาติ ถ้าเด็กกลุ่มหนึ่งพัฒนาตัวเองขึ้นมามีศักยภาพการที่ทำงานในประเทศไทยทำให้เศรษฐกิจครอบครัวเขาดีขึ้น เขาก็เสียภาษีเยอะขึ้น รายได้กลับเข้าสู่ประเทศมหาศาล เขาเป็นแรงงานคุณจะให้เขาเป็นแรงงานตลอดชีวิตหรือ ถ้าเขามีฝีมือคุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น ผมมองว่าผมกำลังพัฒนาประเทศชาติภายใต้เด็กกลุ่มนี้ ผมไม่ได้มองเรื่องการศึกษาของคนต่างด้าวหรือไม่ด้าว ไม่แปลกที่เขาจะมองมุมนั้นแต่ผมมองอีกมุม” นายวีระ กล่าว

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่