ปิยนันท์ จิตต์แจ้ง
การติดตามเริ่มต้นจากน้ำของแม่น้ำสายขุ่นในหน้าแล้งปี 2567 ที่ปกติควรใสกว่าหน้าฝน แต่กลับขุ่นข้น และที่หนักคือน้ำประปาแม่สายยังขุ่น ชาวบ้านร้องเรียน (ร้องแล้วร้องอีกน้ำสายจนเหมือนเป็นความชินชาของทุกหน่วยงานและท้องที่ท้องถิ่น เพราะเป็นเรื่องข้ามแดน) จากการสอบถามประปาแม่สายพบว่า ระบบผลิตประปาแม่สาย ด้วยวิธีการที่ผ่านมาไม่สามารถกรองให้ใสได้อีกต่อไป และด้วยความขุ่นไม่เหมือนที่ผ่าน ๆ มาจากขุ่นออกแดง กลายเป็นขุ่นออกขาวเทาข้นและเมื่อกระทบแสงแดดจะมันวาว
เมื่อนำมาบรรจุขวดมาตั้งวางไว้ 1 สัปดาห์ยังขุ่นขาวโดยตกตะกอนเพียงเล็กน้อย ในครั้งนั้นอำเภอได้เรียกประชุม โดยให้ กปภ.แม่สาย นำเสนอสถานการณ์ ผลการตรวจคุณภาพน้ำ เกี่ยวกับสารแขวนลอยและการปนเปื้อนโลหะหนัก เพราะในพื้นที่แม่สายต่างรู้กันว่าบริเวณต้นน้ำแม่สายในประเทศพม่ามีเหมืองจำนวนมาก
จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในตอนนั้นทราบว่า ความขุ่นมีลักษณะที่ต่างจากที่เคยเป็นและยังตกตะกอนช้า ชนิดที่ลอยมา 30-40 กม.ก็ยังไม่ตกตะกอน ดังนั้น กปภ.แม่สาย จึงต้องหาวิธีการใหม่ในกระบวนการผลิตและการเร่งให้ตกตะกอน และการกำจัดสารเคมีกำจัดสารโลหะหนักปนเปื้อน
ขณะเดียวกันทางอำเภอแม่สาย และ TBC (Township Border Committee)ไทย ได้ประสานทาง คพ.1 (สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่) มาตรวจสอบ เพราะการประสานงาน TBC เมียนมา ต้องมีผลตรวจสอบทางการแนบแจ้งปัญหาน้ำขุ่น จึงต้องให้ คพ.1 มาเก็บตัวอย่างเพื่อหาผลการตรวจคุณภาพน้ำและสารปนเปื้อน
ผลการตรวจคุณภาพน้ำของ คพ.1 ในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว พบว่าสารโลหะหนักปนเปื้อนไม่เกินมาตรฐานที่รับได้ แต่น้ำยังขุ่นขาว ทาง TBC ไทยได้แจ้งความกังวลนี้ไป แต่ข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาคือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์แม่น้ำสายในปีที่ผ่านมา
จนกระทั่งเกิดน้ำท่วมดินโคลนถล่มไหลท่วมเมืองในช่วงเดือนกันยายน 2567 สะท้อนภาพชัดเจนของสภาพต้นน้ำที่เจอพายุยางิถล่ม แต่หน้าดินที่ถูกเปิดกว้างซึ่งเปลี่ยนจากป่าเป็นเหมืองจึงไม่สามารถอุ้มน้ำได้มากนัก ทำให้โคลนต้นน้ำทะลักลงมาท่วมแม่สายและท่าขี้เหล็ก
หลังเหตุการณ์กรมทรัพยากรธรณีได้นำตะกอนดินไปตรวจ โดยมีข้อมูลปรากฎในรายงาน “การตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม บริเวณตลาดสายลมจอย และน้ำแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย” พบว่า มีสารปนเปื้อนโลหะหนักที่น่ากังวลและติดตามการตรวจสอบป้องกันต่อไป คือ ปริมาณสารหนู (Arsenic : As)
จากการเก็บตัวอย่างที่เก็บทั้ง 5 จุด พบว่า 4 จุด อยู่ในระดับที่มีโอกาสเกิดผลกระทบต่อประชากรสัตว์หน้าดิน ที่สูงเกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยจุดแรก และจุดที่ 2 ถ้ำผาจม บริเวณหน้าแม่สายริเวอร์ไซด์เกสเฮาส์ห่างกันเล็กน้อย มีปริมาณสารหนูในตะกอนตัวอย่าง 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จุดที่ 3 บริเวณอาคารพาณิชย์ ซอย 2 มี 17 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จุดที่ 4 วัดเกาะทรายคำ มี 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และมี 1 จุด
จุดที่ 5 คลองชลประทาน สูงถึง 47 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม อยู่ในระดับที่มีโอกาสเกิดผลกระทบต่อสัตว์หน้าดินสูง ที่สูงเกิน 33 มิลลิกรมต่อกิโลกรัม แต่มีเรื่องที่น่ากังวลกว่านั้น เกี่ยวกับ “คุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย” ปกป้องคนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง คือ เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ คือ ปริมาณสารหนูที่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ ปริมาณโครเมียม (Cr) ที่เกิน 17.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทำให้มีคำถามต่อสาธารณสุข กรมทรัพยากรธรณี และกรมควบคุมมลพิษ ว่าดินตะกอนจากโคลนน้ำท่วมที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่มีการตรวจสอบยืนยันว่า สารโลหะหนัก 2 ชุดนี้ มีปริมาณที่ปลอดภัยหรือไม่อย่างไร
(ดูรายละเอียดในผลการสอบสวนใน https://transbordernews.in.th/home/wp-content/uploads/รายงานผลการลงพื้นที่ประสบภัยแม่สาย.pdf )
ที่น่ากังวลใจคือภายหลังจากน้ำท่วมใหญ่ได้มีการขนตะกอนดินไปทิ้งในจุดต่าง ๆ มีการติดตามตรวจสอบและหาทางบำบัดโลหะหนัก หรือป้องกันหรือไม่อย่างไร และตะกอนดินที่อยู่ในน้ำปัจจุบันจะมีการสะสมในน้ำจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เมื่อยังไม่สามารถยืนยันว่ากิจกรรมการทำเหมืองนั้นยุติ
หลังจากการตรวจในปีที่แล้ว คพ.1 ยังไม่ได้มาตรวจเพิ่ม เนื่องจากกำลังตรวจเข้มข้นในแม่น้ำกก อย่างไรก็ตามเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา อำเภอแม่สายได้นำผลการตรวจคุณภาพน้ำของ กปภ.แม่สายมาแจ้งผ่านเพจ พบว่า ผลการตรวจน้ำดิบ มีค่าสารหนูเกินมาตรฐานอยู่ที่ 0.014 มิลลิกรัมต่อลิตร
ในวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ทางทีมวิจัย จากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) ได้เก็บตัวอย่างในแม่น้ำสาย ตั้งแต่หัวฝายถึงสบรวก ทั้งหมด 9 จุด ในวันที่น้ำหลากท่วมแม่สาย จากฝนตกสะสม 69 มิลลิเมตร พบผลการตรวจเป็นที่น่าตกใจ ทุกจุดภาวะปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐานสูงมาก โดยเฉพาะปากน้ำรวก หรือสบรวก ที่น้ำสายน้ำรวกไหลออกไปที่น้ำโขง อ.เชียงแสน ที่สูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
จากการสอบถามทางทีมวิจัยโครงการฯ ทราบว่า ชุดตรวจโลหะหนักเป็นชุด Kit (Intelligent Heavy Metal Quantification Kit :IQUAN) ที่ทางทีมได้รับมาใช้ตรวจเฉพาะเจาะจงในการหา สารหนู โดยเฉพาะ ต่างจากแลปมาตรฐานที่จะหาสารเคมีโลหะปนเปื้อนหลายชนิดจึงใช้เวลานาน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบให้ทีม จำนวน 20 ชุด เป็นชุดทดสอบ ที่ได้รับการวิจัยพัฒนา และทดสอบ วัดปริมาณโลหะหนักที่ปนเปื้อนในตัวอย่างน้ำ โดยระบบเซ็นเซอร์ iQuan เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาแล้ว 3-4 ปี ทีมวิจัย จึงนำมาใช้ตรวจแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย-น้ำรวก ทราบผลใน 1 นาที เพราะเป็นการตรวจเฉพาะเจาะจงในการหาสารหนูปนเปื้อน
ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 ทีมวิจัย มฟล. ได้เก็บตัวอย่างทดสอบในแม่น้ำกก บริเวณใกล้สนามบิน เก็บกลางลำน้ำกก ซึ่งพบว่าค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน แต่เมื่อเก็บตัวอย่างริมน้ำพบว่ามีค่าสูง 0.17 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน 17 เท่า
การตรวจในลำน้ำสายและน้ำรวกนั้น พบว่าในบางจุดมีค่าสารหนูสูงเกินมาตรฐานมาก เช่น บริเวณสบรวกที่เป็นปากแม่น้ำที่มีการตกตะกอน จากการสอบถามทาง คพ.1 ทราบว่าภายในไม่เกินสัปดาห์ทางเจ้าหน้าที่จะลงมาเก็บตัวอย่างทั้ง น้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสาย
มากกว่าการตรวจพบสารหนูและสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกคือผลที่ตามมา ซึ่งขณะนี้ทั้งคน สัตว์และระบบนิเวศต่างตกอยู่ในความเสี่ยงสูงสุด ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเข้ามาจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบโดยร่วมมือกับนักวิชาการและชุมชนเพื่อหารับมือกับสถานการณ์ที่เผชิญหน้าอยู่ให้ทันความเสียหายสถานการณ์ที่จะขยายวงกว้างยิ่งกว่านี้
————–