
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้มีการประชุมฟังข้อเท็จจริงและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก โดยมี น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธาน
นายทัศนพล ก่ำบุตร รองนายก อบต. ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่าน้ำมีสีขุ่นผิดปกติ และตรวจพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐานทั้งแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนลุ่มน้ำ ในหลายด้าน ชาวบ้านไม่สามารถสัมผัสน้ำได้ เป็นประเด็นเรื่องผลกระทบข้ามแดนเนื่องจากต้นน้ำมีการเปิดหน้าดินทำเหมืองขนาดใหญ่ โดยเหมืองทองในประเทศเมียนมาห่างจากชายแดนไทยไป 51 กม.
นายทัศนพลกล่าวว่า น้ำกกเหนือเหมืองยังมีน้ำใส แต่ใต้เหมืองน้ำขุ่นในหน้าแล้ง จนต้องจัดหาน้ำดื่มจากแหล่งอื่น และเร่งเจาะบ่อน้ำลึกทุกหมู่บ้าน ประปาผิวดิน ประปาภูเขาเพิ่มเติม เพราะหลังจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งก่อนเครื่องสูบน้ำที่ใช้สูบน้ำจากแม่น้ำกกพังเป็นส่วนใหญ่ จึงได้หารือกันถึงแนวทางการจัดการปัญหาทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กล่าวว่า เนื่องจากเชียงรายเป็นเมืองที่มีภัยพิบัติซ้ำซ้อน เสนอให้มีการจัดตั้งเชียงรายเป็นศูนย์จัดการภัยพิบัติของประเทศ และเสนอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการให้เกิดการเจรจาระหว่างประเทศในการทำเหมือง และให้มีการมอนิเตอร์ติดตาม และวัดคุณภาพน้ำร่วมกัน หากสงสัยว่าเหมืองทองประเทศเพื่อนบ้านเป็นต้นเหตุของสารปนเปื้อนหรือไม่
ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์สำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) กล่าวว่า ประเด็นขณะนี้อยู่ที่ฝ่ายนโยบาย รัฐบาลต้องตอบว่าจะเลือกแนวทางปิดเหมือง และการทำเหมืองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะกำหนดแนวโน้มให้เจรจา การรับมือสารปนเปื้อนสะสม จะต้องถกกันเรื่องนี้ก่อน และการจะเจรจาต้องคุยทั้งกับพม่า ว้า และจีน โดยต้องดึงให้ว้าออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงเพื่อความโปร่งใส เพราะว้าเป็นผู้เปิดพื้นที่ให้จีนเข้ามาลงทุน
“ขณะนี้หลายหน่วยในพื้นที่ต้องการส่งตัวอย่างตรวจหาสารโลหะหนักปนเปื้อน ซึ่งมีแต่กรมควบคุมมลพิษ ที่มีกำลังไม่มากพอ และ มฟล. ตอนนี้เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินมาจะตรวจหาโลหะหนัก 5 ชนิด โดยผลออกในสัปดาห์หน้า เราต้องเร่งในการตรวจสารโลหะหนักเพื่อวิเคราะห์ ต้องแก้ปัญหาแบบรวดเร็ว เพราะมีผลการดำเนินชีวิตของประชาชน”ดร.สืบสกุล กล่าว
ขณะที่ตัวแทนกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงต่างประเทศ (กต.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา กต.ได้สั่งการให้ สถานทูตไทยประจำย่างกุ้งประสานงานกับรัฐบาลเมียนมา ตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาทางออกเป็นรูปธรรมโดยได้เชิญผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตเมียนม่าประจำประเทศไทย ร่วมหารือกันยกระดับปัญหาผลกระทบวิถีชีวิตประชาชน และเตรียมประเด็นหารือหากรัฐบาลไทยมีโอกาสพบปะกับรัฐบาลเมียนมา โดยการดำเนินการได้ร่วมกับฝ่ายความมั่นคงของไทย และความมั่นคงในพื้นที่ ที่มีบทบาท กลไกระดับกองทัพ ส่วนเรื่องคำถามเกี่ยวกับว่าเมียนมามีกฎหมายความคุมการทำเหมืองหรือไม่นั้น กระทรวงการต่างประเทศยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดประเด็นนี้แต่จะรับไปศึกษา
นางเตือนใจ ดีเทศน์ ผู้ก่อนตั้งมูลนิธิ พชภ. กล่าวว่า ภาคประชาสังคมได้มีการหารือกัน ทั้งในเรื่องของการร่วมกันติดตั้งมาตรวัดเตือนภัยน้ำท่วม และปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก และอาจมีการไปพูดคุยกับสถานทูตจีนในไทย ประเด็นเรื่องผังเมืองเป็นเรื่องใหญ่ เรามีกรมโยธาธิการและผังเมือง แต่ผังเมืองควรจะแยกออกมาเฉพาะ เราควรมีการควบคุมพื้นที่ลุ่มน้ำ เพราะปัจจุบันมีการรุกล้ำพื้นที่ลุ่มน้ำมากเกินไป โดยผังเมืองควรควบคุมพื้นที่ใช้ประโยชน์ให้เหมาะกับระบบนิเวศ
ตัวแทนกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ทางกรมฯ จะเดินมาตรการเชิงรุกโดยจะเก็บตัวอย่างน้ำ 2 ครั้งต่อเดือน โดยจะเก็บตัวอย่างทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดินของแม่น้ำกก รวมทั้งเก็บตัวอย่างที่แม่น้ำสายด้วย ที่ผ่านมามีข้อจำกัดในการทำงาน สำนักงานที่เชียงใหม่ จะเป็นหน่วยงานหลักในการเก็บตัวอย่างตรวจสารปนเปื้อน และบางตัวอย่างก็ส่งเข้า แลปที่กรุงเทพฯ แต่มีแผนที่จะหารือกับหน่วยงานในพื้นที่อื่น ๆ และการวางแผนการตรวจตัวอย่างที่คาดว่าจะได้รับกระทบ ทั้งน้ำ ดิน สัตว์น้ำ ฯ
ด้าน สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ภายหลังได้รับแจ้งเรื่องการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก ในวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา สทนช.ได้ประสานงานระหว่างประเทศดำเนินการภายใต้ 3 กรอบ การดำเนินร่วมกับทาง กต. ประสานประเทศเมียนมา กรอบความร่วมมือแม่โขงล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation:LMC) และกรอบคณะทำงานร่วมของทางเมียนมา เมื่อแจ้งข้อกังวลเกี่ยวกับสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก ทางเมียนมาได้รับไปตรวจสอบ 5 จุด และแจ้งผลการตรวจสอบสารโลหะหนักปนเปื้อนมาในวันที่ 8 เมษายน ว่ามีค่าความขุ่น ส่วนค่าอื่น ๆ อยู่ในการยอมรับได้ ส่วนความร่วมมือกรอบ MRC ได้ประสานเลขาธิการแม่น้ำโขง แจ้งว่าได้ประสานทางเมียนมาคู่เจรจาเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ทาง MRCs ประสานเมียนมาแล้ว สทชน. ได้มีหนังสือขอการตรวจร่วมกัน
นส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า จากการรับฟังคงแก้ที่ปลายทางไม่ได้ และหน่วยงานไทยคงทำอะไรไม่ได้มาก แต่มันต้องไปหยุดที่เหมืองให้ได้ การเจรจาต้องมีจีนร่วมด้วย เพราะช่วงก่อนปี พ.ศ. 2560 จีนกวาดล้างเหมือง โรงงานอุตสาหกรรมเหมืองที่ไม่ถูกต้อง มีการสั่งปิดหมดเลย เพราะต้องการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม ส่วนหนึ่งจึงย้ายมาในประเทศแถบนี้และเข้าไปที่พม่า
“ใกล้ไทยเท่าที่ทราบมี 11 เหมือง เท่าที่สังเกตจากภาพถ่ายทางอากาศ คิดว่าเหมืองเหล่านี้ ไม่มีโรงแต่งแร่ และเอาทองดิบขึ้นมาก่อน มีกองหิน ดิน สินแร่ทิ้ง มีความชื้นและฝนตกลงมา เมื่อระเบิดหน้าดิน เพื่อนแร่ สารหนูเป็นองค์ประกอบหลัก ถ้าหยุดต้นทางไม่ได้ เชียงรายอาจเป็นที่ปนเปื้อนมลพิษใหญ่ของประเทศ อย่าให้ถึงตรงนั้น” นางเพ็ญโฉมกล่าว
ผอ.มูลนิธีบูรณะนิเวศ กล่าวว่า เราอยู่ในความทุกข์เดือดร้อน ขณะที่พม่าและจีนไม่เดือดร้อน ต้องมีการศึกษาประเมินความเสียหาย 3 ด้านหลัก ทั้งเชียงรายและเชียงใหม่ เป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจน่าจะหนักมากๆ
“นับแต่มีสึนามิโคลน คิดเป็นความเสียหายเท่าไหร่ มีความเสียหายสุขภาพ ระบาดวิทยาเสียหายระดับหนึ่ง สาธารณสุขต้องมีงบประมาณมาดูแล ถ้าต้องฟื้นฟูจากการปนเปื้อนโลหะหนัก จะเห็นว่ากรณีมลพิษที่ญี่ปุ่นต้องทิ้งบางส่วนเพราะไม่มีทางฟื้นฟูได้ ไปกำจัดที่ปนเปื้อนในที่นาที่ต้องใช้ประโยชน์ เราไม่รู้ว่ามันปนเปื้อนโลหะหนักแค่ไหนอย่างไร ถ้าเป็นของเสียอันตราย ขุดไปไว้ที่ Secure Landfill บริเวณที่เตรียมไว้เพื่อการฝังกลบของเสีย อันตราย การฟื้นฟูต้องขุดขึ้นมาจัดการ อย่างกรณีคลิตี้ กรมควบคุมมลพิษต้องจ่ายเพื่อฟื้นฟูสูงถึง 650 ล้านบาท การจะทำความสะอาด ต้องใช้เงินมหาศาลเท่าไหร่ และงบฟื้นฟูดูและสุขภาพอีกที่ยังไม่นับ ต้องแสดงตัวเลขเบื้องต้น ภาคเศรษฐกิจ ตีเป็นมูลค่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ถ้าเป็นแบบนี้ไปอีก ต้องดูแลสุขภาพเชิงระบาด เรามีการสูญเสียสุขภาพ ถ้าไม่รีบแก้ปัญหา ประเทศต้องใช้เงินเป็นเงินเท่าไหร่”นส.เพ็ญโฉม กล่าว
นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ในการประชุมเป็นข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ และการจัดการในประเทศการจัดการมลพิษ ในแม่น้ำกก น้ำสาย และน้ำรวก เสนอความเห็นข้อเสนอแนะเหล่านี้นำเสนอตรงต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป