Search

หวั่นสารพิษปนเปื้อนมากับน้ำท่วมแม่สาย ผอ.บูรณะนิเวศแนะเลี่ยงสัมผัสน้ำ แนะรัฐประกาศเขตภัยพิบัติ-เร่งหาน้ำสะอาดให้ชาวบ้าน ที่ปรึกษากรีนพีซเผยผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมต้นแม่น้ำกก-พบเหมืองแรร์เอิร์ธลักษณะเดียวกับรัฐคะฉิ่น

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) ให้สัมภาษณ์หลังจากการลงพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดิน ว่าได้เห็นความแรงของกระแสน้ำที่ไหลเร็วและขุ่นมาก และได้เก็บตัวอย่างเพื่อส่งห้องแล็บของศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีคำแนะนำอย่างไรสำหรับความกังวลของชาวบ้านเรื่องการปนเปื้อนจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ เพ็ญโฉมกล่าวว่า ไม่ควรสัมผัสน้ำและใช้น้ำไม่ได้เลย แม้ผลการตรวจเบื้องต้นพบพารามิเตอร์ปรกติแต่ค่าค่อนข้างสูง อีกนิดก็เกินค่ามาตรฐาน คงมีสิ่งเจือปนในน้ำทั้งปกติและเมื่อตรวจในห้องแล็บก็อาจพบมากกว่า ข้อสังเกตคือการตรวจในห้องแล็บเราพุ่งเป้าการตรวจโลหะหนัก แต่จริงๆ สารอันตรายในน้ำมีมากกว่าโลหะหนัก ซึ่งเราไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี ข้อเกี่ยวกับการทำเหมือง น้ำผิดปกติ ทางที่ดีคืออย่าสัมผัสน้ำ เพราะสารอันตรายบางอย่างเราบอกไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางวิชาการ

“สำหรับรัฐบาล พื้นที่นี้ควรประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ หรือน้องๆ ภัยพิบัติ รัฐบาลส่วนกลางต้องมีมาตรการออกมาให้ท้องถิ่น ต้องมีความช่วยเหลือ อย่างน้อยที่สุดคือน้ำดื่ม เมื่อข้อมูลยังไม่ชัดเจนต้องคิดไว้ก่อนว่าเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัย นอกจากนี้น้ำในภาคเกษตร หากใช้น้ำจากแม่น้ำทำการเกษตรไม่ได้แล้วจะทำยอ่างไรเพื่อให้ประชาชนคงอาชีพอยู่ได้ ต้องสำรวจว่าพื้นที่ไหนต้องช่วยเหลือ เช่น ต้องมีรถน้ำเข้าไปช่วย นอกจากนี้รัฐบาลต้องใช้มาตรการการวสื่อสารความเสี่ยงเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง การสัมผัสน้ำ น้ำบ่อตื้น หากยังไม่มีข้อมูลต้องสันนิษฐานไว้ว่าให้หลีกเลี่ยงก่อนดีกว่า” ผอ.มูลนิธิกล่าว

ทั้งนี้ประชาชนชาวแม่สายจำนวนหนึ่งต่างรู้สึกมีอาการคันภายหลังจากต้องลุยน้ำที่ท่วมตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 23 พฤษภาคม โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นผลจากสารพิษที่ปนเปื้อนมากับแม่น้ำ

ขณะที่ธารา บัวคำศรี ที่ปรึกษากรีนพีซ ประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุคว่า จากการวิเคราะห์ภาพดาวเทียมเบื้องต้น แบบแผนการทำเหมืองแร่ในลุ่มน้ำกกเป็นการสกัดแร่ด้วยวิธีชะละลาย ณ แหล่งแร่ (In situ leaching) แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่นติดพรมแดนจีนซึ่งมีปรากฏการณ์บูมของเหมืองแรร์เอิร์ธ

นายธาราระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า จำนวนแหล่งเหมืองในเขตปกครองพิเศษกะฉิ่นที่ 1 เพิ่มขึ้นมากกว่า 300 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 40% ระหว่างปี 2021 ถึง 2023 จนกระจายแน่นหนาไปทั่วภูมิประเทศรอบเมืองชายแดนปางวา รวมๆ กันมีขนาดเท่าๆ กับพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร
“ข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างน้ำระบุว่า ลำธารในเขตปกครองพิเศษกะฉิ่นที่ 1 ซึ่งมีการทำเหมืองนั้น มีค่าความเป็นกรดสูงและมีสารหนูในระดับที่เกินมาตรฐาน มลพิษกำลังคุกคามทำลายภูมิภาคที่ถือเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลก”นายธารา ระบุ

ที่ปรึกษากรีนพีซระบุด้วยว่าในประเทศจีน ซึ่งเป็นที่แรกที่พัฒนาวิธีนี้หรือที่รู้จักกันในชื่อ in-situ leaching ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับแหล่งน้ำและพื้นที่เพาะปลูกที่ปนเปื้อน รวมถึงการทำลายพืชพรรณอย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน จีนยังคงอนุญาตให้ใช้วิธีนี้ได้ แต่มีข้อกำหนดเข้มงวด เช่น โควต้าการผลิต มาตรฐานทางเทคนิค และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงมาตรการป้องกันการรั่วไหลของกรด แต่ในเมียนมากลับไม่มีข้อบังคับในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็น“รัฐบาลไทยจะแสดงบทบาทอย่างไรทั้งต่อรัฐบาลเมียนมา รัฐบาลจีนและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อยุติการดำเนินการทำเหมือง โดยตระหนักว่านี่เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและละเมิดมาตรฐานสากล ทุกแห่งดำเนินการโดยไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน และส่วนใหญ่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง”ที่ปรึกษากรีนพีซ ประเทศไทย ระบุ

“รัฐบาลไทยจะแสดงบทบาทอย่างไรทั้งต่อรัฐบาลเมียนมา รัฐบาลจีนและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อยุติการดำเนินการทำเหมือง โดยตระหนักว่านี่เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและละเมิดมาตรฐานสากล ทุกแห่งดำเนินการโดยไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน และส่วนใหญ่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง”ที่ปรึกษากรีนพีซ ประเทศไทย ระบุ