Search

นักโทษ 4,000 ชีวิตเสี่ยงสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน เหตุเรือนจำผลิตน้ำใช้เอง-น้ำดิบจากแม่น้ำกก-บ่อบาดาล  ผบ.เรือนจำเร่งหาทางแก้ไข-ซื้อเครื่องกรองใหม่ ขณะที่ กสม.ทำหนังสือถึงนายกฯแนะสั่งหน่วยราชการเร่งดำเนินการ

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เรือนจำกลางดอยฮาง ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำกก ภายหลังได้รับทราบประเด็นข่าวที่ระบุว่านักโทษในเรือนจำได้รับผลกระทบเนื่องจากน้ำที่เรือนจำผลิตขึ้นใช้เองโดยใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกและน้ำบาดาล มีค่าสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน

นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาเรือนจำกลางเชียงราย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ทางเรือนจำได้เชิญศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย มาตรวจน้ำใช้ในเรือนจำในวันที่ 9 เมษายน และ 3 พฤษภาคม ซึ่งเรือนจำใช้น้ำ 2 ระบบ คือ น้ำจากแม่น้ำกก และน้ำบาดาล โดยพบสารตะกั่วในปริมาณที่เกินมาตรฐานของกรมอนามัยทั้ง 2 แหล่ง แต่สารหนูและแคดเมียมมีในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐาน

ทั้งนี้น้ำที่สูบมาจากแม่น้ำกกผ่านการบำบัดโดยการกรองแล้ว การตรวจครั้งล่าสุด สารตะกั่วมีปริมาณ 0.011 mg/L (มาตรฐานน้ำดื่มของกรมอนามัยอยู่ที่ 0.01mg/L) และในระบบน้ำบาดาลพบปริมาณ 0.018 mg/L เบื้องต้นทางเรือนจำจึงได้รายงานกรมราชทัณฑ์ เพื่อปรับปรุงระบบกรองน้ำใช้ทั้ง 2 แหล่ง และเพิ่มสารส้มเพื่อให้ตกตะกอนมากขึ้น จากนั้นจะให้ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ มาตรวจอีกครั้ง ระยะเร่งด่วน ทางเรือนจำได้นำเสนอของงบประมาณ ซื้อเครื่องกรองใหม่ ระบบ RO หรือ Reverse Osmosis ที่สามารถกรองโลหะหนักได้ ราคาประมาณ 4 แสนกว่าบาท ซึ่งสามารถกรองได้ 24,000 ลิตรต่อวัน เพียงพอต่อผู้ต้องขังจำนวนกว่า 4,000 คน

นายพัศพงศ์กล่าวว่า ส่วนระยะกลางทางเรือนจำได้วางแผนที่จะแยกท่อจ่ายระบบน้ำบาดาลและระบบประปาจากแม่น้ำกก ให้พร้อมที่งดจ่ายหากระบบใดมีปัญหา และจะมีการเปลี่ยนฝาเหล็กของบ่อพักน้ำ เพราะสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีสารโลหะหนักปนเปื้อน

ผบ.เรือนจำกลางเชียงราย กล่าวอีกว่า ในระยะยาวได้ประสานทางประปาส่วนภูมิภาคเชียงรายให้ขยายเขตบริการมายังเรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งบริเวณใกล้ ๆ พื้นที่ตำบลดอยฮางก็มีบ้านเรือนชาวบ้านจำนวนมากไม่มีน้ำประปาภูมิภาคใช้ หากขยายประชาชนก็จะได้ประโยชน์ได้น้ำปลอดภัยด้วย ซึ่งทางเรือนจำได้ทำหนังสือแจ้งเสนอการขอไปยัง กปภ.และกรมราชทัณฑ์แล้ว และกำลังจะทำหนังสือเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้เรือนจำฯ เตรียมการขอการอนุเคราะห์บุคลากรจาก กปภ.เขต 9 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงราย และสาธารณสุขเชียงราย ที่จะให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดหาน้ำสะอาดให้กับผู้ต้องขังให้มีความปลอดภัย และมีการเฝ้าระวังอาการป่วยที่เป็นผลจากสารปนเปื้อน โดยมีการสังเกตอาการป่วยของผู้ต้องขัง และการสุ่มตรวจเลือดผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำมาเป็นเวลานาน

ในวันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้แถลงว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธาน กสม.ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งสภาพปัญหา ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนกรณีดังกล่าว สรุปได้ว่า ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่แรร์เอิร์ธของบริษัทเอกชนที่ไม่ทราบสัญชาติ บริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ในเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ว้า มีการสกัดแร่ด้วยสารเคมีอันตราย ทำให้มีดินและกากแร่ปนเปื้อนโลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ปรอท) ชะล้างลงสู่แม่น้ำสายหลัก และไหลเข้าสู่ประเทศไทย ส่งผลให้คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเสื่อมโทรมลงอย่างมาก

.

กรรมการ กสม.กล่าวว่า การได้รับสารหนูสะสมในร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้ในปริมาณน้อย จะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพ อาทิ การเกิดโรคผิวหนัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะความจำเสื่อม ตลอดจนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญาในเด็ก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดในสตรีมีครรภ์

.

“กสม. เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีความยั่งยืน และต่อสิทธิในการมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ โดยเฉพาะสิทธิในอาหารและน้ำ ตามข้อ 11 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) รวมทั้งต่อสิทธิในการมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์สูงสุด ตามข้อ 12 ของ ICESCR เนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่ปลอดภัยได้ สถานการณ์นี้ยังซ้ำเติมและขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน จะส่งผลให้ต้นทุนค่าครองชีพของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว”น.ส.ศยามล กล่าว

.

กสม. เห็นสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของ กสม. ให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุดคือ 1. มาตรการภายในประเทศ ให้กรมควบคุมมลพิษ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง เปิดเผยผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพแก่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาระบบการเตือนภัยให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง และให้กระทรวงสาธารณสุข (โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคที่อาจเกิดจากโลหะหนัก (โดยเฉพาะสารหนู) ให้แก่ประชากรเสี่ยงในพื้นที่อย่างเร่งด่วนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพเพื่อติดตามผลในระยะยาวอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

.

กรรมการ กสม.กล่าวว่า ให้การประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เร่งจัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองสำหรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และวางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบที่ปลอดภัย พร้อมทั้งพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้าแก่ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบ

.

“รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณสำหรับการขจัดสารพิษและฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพืชพรรณริมตลิ่ง เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

โดยให้คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือเป็นหน่วยประสานงานหลัก และเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แต่งตั้งหรือปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากภาคประชาสังคม ภาคประชาชน นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐ ในสัดส่วนที่เหมาะสมและสมดุล โดยจัดทำแผนปฏิบัติการของจังหวัด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ระดับชุมชน ลุ่มน้ำ จนถึงระดับชาติ ตามหลักธรรมาภิบาลน้ำ (Water Governance) และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”น.ส.ศยามล ระบุ

.

กรรมการ กสม.กล่าวว่า 2. มาตรการระหว่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เร่งดำเนินการเจรจากับประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อให้ยุติการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของมลพิษโดยเร็วที่สุด โดยใช้กลไกความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคที่มีอยู่ รวมทั้งผลักดันให้รัฐเจ้าของสัญชาติของบริษัทแม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)

——————

On Key

Related Posts