ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.ราชภัฏเชียงราย
หลายๆฝ่ายเห็นพ้องต้องกันเรียกร้องให้มีการเจรจาโดยมีจีนเป็นส่วนหนึ่งในวงโต๊ะเกี่ยวกับผลกระทบจากเหมืองแร่ในพื้นที่ของกองกำลังว้าในรัฐฉาน ที่ส่งสารพิษข้ามพรมแดนมาในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้โดยได้เน้นย้ำตั้งแต่แรกว่า “ต้องจัดการหยุดแหล่งกำเนิดมลพิษเป็นอันดับแรกก่อน” ถึงจะมาจัดการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำที่ปนเปื้อนให้กลับสู่สภาพเดิมได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะนั่นคือหลักการทางวิชาการและเป็นหลักสากลในการจัดการมลพิษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 มวลชนจากทุกภาคส่วนที่มาร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อส่งเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาลไทยในฐานะที่เป็นผู้บริหารประเทศ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ขณะเดียวกันก็ได้มีการส่งหนังสือเรียกร้องไปยังรัฐบาลเมียนมาและจีนผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและรองปลัดกระทรวงมหาดไทยให้พิจารณาข้อเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษโลหะหนักที่เกิดขึ้นในแม่น้ำกก น้ำสาย น้ำรวกและแม่น้ำโขง
ล่าสุดมีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ที่ระบุว่า “จีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงในประเทศไทยและได้เห็นว่ามีรายงานผลการตรวจสอบของรัฐบาลไทยและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องฯ…..ฝ่ายจีนสนับสนุนให้ไทยและเมียนมาเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงาน ดำเนินสอบสวนด้านวิทยาศาสตร์และมีความรับผิดชอบ และแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างเป็นมิตร จีนได้กำหนดให้บริษัทจีนที่อยู่ในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น และดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบโดยตลอด ยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆในลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง” …….
ถอดรหัสถ้อยแถลงของจีนผ่านสถานทูตจีนประจำประเทศไทยในมุมมองของผม นับว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญที่รัฐบาลจีนได้ออกมารับทราบถึงสถานการณ์ปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในแม่น้ำกก สาย รวกและโขง แม้ว่าจะเสนอแนวทางให้รัฐบาลไทยเจรจากับรัฐบาลเมียนมา อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารัฐบาลจีนทราบดีว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเข้ามาทำเหมืองแร่ของกลุ่มทุนจีนร่วมกับกองทัพว้าที่ควบคุมพื้นที่ต้นน้ำที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ และรัฐบาลจีนได้ประโยชน์จากแร่ชนิดต่างๆที่ส่งกลับไปสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศจีน เนื่องจากการเข้ามาลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนั้นเป็นยุทธศาสตร์และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลจีนที่อยู่บนเหตุผลดังนี้
ประการแรก การขยายอิทธิพลเพื่อเข้ามีบทบาทในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแทนที่มหาอำนาจเดิมที่ถอยห่างออกไป จีนรุกคืบเข้ามาโดยใช้แนวคิด “การทูตทางเศรษฐกิจ” (Economic diplomacy) ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะของการแผ่อำนาจโดยมิได้ใช้กำลังแต่หากเป็นการผนวกเอาผลประโยชน์ที่ใช้เศรษฐกิจเป็นตัวนำ ซึ่งเป็นลักษณะที่เราเรียกว่า “อำนาจละมุน” (Soft power) ที่รัฐปลายทางมิอาจปฏิเสธและหันมาร่วมมือกับจีน ดังที่เห็นกรณีของประเทศลาว กัมพูชา และเมียนมา และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรในประเทศปลายทางบนข้ออ้างของความร่วมมือในการพัฒนาและนำพาปัญหาผลกระทบต่างๆมาสู่ประชาชน เช่น การสร้างเขื่อนพลังงานน้ำในแม่น้ำต่างๆ การลงทุนทางการเกษตร ป่าไม้ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ โครงข่ายคมนาคมระบบโลจิสติกส์ และอื่นๆอีกมากมาย
ประการที่สอง จีนมีแนวคิดที่สำคัญที่นำมาใช้เพื่อสถาปนาตนเองที่จะขึ้นสู่ประเทศมหาอำนาจผ่านยุทธศาสตร์และนโยบายที่เรียกว่า “Going Out” และหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง “Belt and Road Initiative” หรือ BRI จะเห็นว่าเส้นทางเชื่อมในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนทั้งการลงทุนทางเศรษฐกิจ และการขยายอิทธิพลอำนาจในภูมิภาค และมีส่วนสำคัญที่ส่งเสริมให้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนและแสวงหากำไรและขนเอาทรัพยากรในประเทศปลายทางกลับไปหล่อเลี้ยงคนในประเทศจีน
ประการที่สาม การที่จีนพยายามขยายอิทธิพลเพื่อต้องการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งมหาอำนาจโลกแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีนต้องการสร้างภาพลักษณ์ในเวทีนานาชาติว่าเป็นผู้ที่เน้นแนวทางสันติและใช้ยุทธวิธีการช่วยเหลือและพัฒนาประเทศด้อยพัฒนาในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา ที่มีนักลงทุนจีนและรัฐบาลจีนเข้าลงทุนกิจการต่างๆมากมาย ซึ่งประเด็นการลงทุนและธรรมาภิบาลในการลงทุนเป็นประเทศที่ UN Trade & Development ได้กำหนดเป็นแนวทางและเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนถึงภาพลักษณ์ (Image) ที่สำคัญของประเทศผู้ลงทุนที่ต้องตระหนักและนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
เมื่อหันมาพิจารณา เหตุที่ตั้งไว้ว่า “ทำไมต้องเป็นจีน” ที่ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งในการที่จะช่วยแก้ปัญหาแหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นเหมืองแร่ในเขตควบคุมของกองทัพว้า ในรัฐฉาน ด้วยเหตุที่รัฐบาลจีนเป็นผู้มีบทบาทหลักที่มีนโยบายส่งเสริมนักลงทุนจีนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ และจีนเองก็ได้ตระหนักถึงภาพลักษณ์ในฐานะที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือมากกว่าจะเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะประเทศต่างๆที่มีการลงทุนจากประเทศจีน
เหตุของปัญหามลพิษสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นจากเหมืองแร่ในรัฐฉานต้นแม่น้ำต่างๆที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำสายและปลายทางแม่น้ำรวก ล้วนเกิดขึ้นจากการที่มีนักลงทุนชาวจีนเข้าไปเป็นผู้ร่วมกระทำการกับกองกำลังว้า เมื่อประชาชนประเทศปลายทางได้รับผลกระทบและเดือดร้อน และออกมาเรียกร้องผ่านสื่อ และรัฐบาลของประเทศแน่นอนย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีนเสียหาย หากไม่นำไปขบคิดร่วมหาทางแก้ไขปัญหา การขยายวงกว้างขึ้นของการประจานภาพลักษณ์ที่เลวร้ายของทุนจีนย่อมนำมาซึ่งผลกระทบต่อการขยายอิทธิพลในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง นั่นจะมีการต่อต้านจีนเพิ่มขยายวงขึ้นและนำไปสู่ประเด็นปัญหาภาพลักษณ์ในเวทีนานาชาติว่าจีนเป็นผู้ส่งเสริมการทำลายล้างสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นปัญหามลพิษสารโลหะหนักนั้นเป็นประเด็นที่นานาชาติให้ความสำคัญเพราะเป็นประเด็นที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งอาจจะกลายเป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรทางสิ่งแวดล้อมในสายตาของชาวโลกได้
เราจึงได้เห็นท่าทีของจีนผ่านถ้อยแถลงของสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งผมมองว่านี่คือ “ประเด็นที่สำคัญยิ่ง” ที่รัฐบาลไทยจะต้องรีบจัดการข้อมูลทั้งหมดทั้งในแหล่งกำเนิดที่เป็นเหมืองแร่ในรัฐฉานและข้อมูลผลการตรวจวิเคราะห์ ข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้นและนำมาเจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อขอให้จีนเป็นผู้นำในการเปิดเวทีเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและผู้นำกองทัพว้า
โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสทองในการที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต้นเหตุแหล่งกำเนิดมลพิษคือการเจรจาปิดเหมืองหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อมิให้เหมืองแร่เป็นแหล่งปล่อยสารโลหะหนักเหล่านี้ลงสู่แม่น้ำทุกสายที่ไหลผ่านเข้ามาในประเทศไทย
รัฐบาลไทยอย่าเหนียมอายในการที่จะขอรัฐบาลจีนเป็นผู้นำการเจรจา (อุยกูร์ก็ยังส่งให้ทางการจีนได้ ยังทนได้กับการประณามจากโลกตะวันตก นับประสาอะไรทำเป็นเหนียมอายในการจะขอให้จีนออกหน้าในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้) เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่มีหนทางหรืออับจนทางปัญญาดังที่เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านมาเข้าสู่เดือนที่สามของปัญหา ที่จะทำให้กองกำลังว้าและทุนจีนยุติการทำเหมืองแร่ได้
ที่ผ่านมาทางการไทยได้ทำหนังสือประสานไปยังรัฐบาลเมียนมาและผลการตอบรับมามิใช่ผลที่ต้องการ ที่สำคัญรัฐบาลเมียนมาไม่มีอำนาจที่จะไปควบคุมสั่งการกองทัพว้า ซึ่งเราทราบกันดี โดยเหตุฉะนี้ การขอให้จีนออกหน้าจะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเจรจายุติปัญหาต้นเหตุมลพิษข้ามแดนที่กำลังเกิดขึ้นในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง และที่สำคัญจีนจะต้องลงมาเล่นบทบาทนี้เพราะมันคือภาพลักษณ์หน้าตาที่จีนไม่อยากกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลกและประชาชนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปลงทุนของรัฐบาลจีนและนักลงทุนชาวจีน
ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีที่การขยับต่อในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ประชาสังคมและภาควิชาการต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์การเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาลจีน โดยมุ่งเน้นไปที่ “มลพิษข้ามพรมแดนและธรรมาภิบาลในการลงทุน” ซึ่งเป็น “การเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ” และภาพลักษณ์ (Image) ที่สำคัญที่รัฐบาลจีนย่อมตระหนัก หากมิลงมาร่วมมือแก้ไข จีนจะกลายเป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรทางสิ่งแวดล้อมในสายตานานาประเทศ ด้วยเหตุฉะนี้ จีนจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยหยุดยั้งเหมืองแร่แหล่งกำเนิดมลพิษสารโลหะหนักในเขตควบคุมกองกำลังว้า ในรัฐฉานได้