Search

ปลดล็อคข้อจำกัด-กล้าคุยกับว้า ช่องแก้ปัญหาสารพิษน้ำกก-สาย ในมุมของ ดร.ลลิตา หาญวงษ์

หมายเหตุ-ระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2568 ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศพม่าจากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมลงพื้นที่ลุ่มน้ำกกกับคณะสื่อมวลชน และได้เสนอนมุมมองในเวทีฟังเสียงชาวบ้านและนักวิชาการ ณ ปางช้าง หมู่บ้านรวมมิตร อ.เมือง จ.เชียงราย

———–

ปัญหาของแม่น้ำกกและมลพิษข้ามแดน อยากจะกระตุ้นให้เห็นว่ามันเป็นปัญหาที่หลักการ แทบจะไม่ต่างจากปัญหา scam center หรือปัญหายาเสพติดที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ โดย scam center ที่เรายังมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ แม้ว่าจะมีการตั้งหน่วยงานต่างๆ ขึ้นมาเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา แต่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้แบบ 100%  เพราะว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหลายอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า กัมพูชา พูดง่ายๆ คืออาชญากรหรือตัวของปัญหาอยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน 

แม้ว่าเขาจะใช้ประเทศไทยผ่านเข้าไป แต่เมื่อปัญหาอยู่ในกัมพูชาหรือเมียนมา เช่นเดียวกับปัญหายาเสพติด แม้ว่าในประเทศไทยจะมีปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้น ทุกคนในชุมชนในหมู่บ้าน ในเมืองต่างเห็นชัดเจนว่าปริมาณยาบ้าเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดเมื่อแหล่งผลิตอยู่นอกประเทศโดยเฉพาะในเขตรัฐฉาน ในเขตปกครองของกองกำลังว้าเป็นส่วนใหญ่ การแก้ไขปัญหาพวกนี้ รัฐบาลไทยต้องคิดทบทวนให้ดี เพื่อปลดล็อคให้ได้ว่า ถ้าเราจะแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ตามที่มีลักษณะเป็นปัญหาข้ามแดนจะต้องทำอย่างไร 

 เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาในเชิงข้ามแดน รัฐบาลมักมองว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขไปถึงต้นตอจริงๆได้ เพราะคิดว่าเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา ที่สำคัญคือไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ตอนที่นายหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของจีน เข้ามาในพื้นที่สแกมเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา คนไทยฮือฮามากเลยว่าทำไมอยู่ดีๆ นายหลิวจงอี้ บินมาที่ไทยและบินไปที่แม่สอดจนเดินข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาเข้าไปในเมียวดี เพื่อไปเจรจากับหัวหน้าแก๊ง CallCenter BGF ทำไมเขาถึงทำได้

เมื่อย้อนกลับมาที่ประเด็นเรื่องแม่น้ำกก ถามกลับไปที่รัฐบาลในเวลานี้ว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้นำรัฐบาลไทยจะแต่งตั้งใครหรือแต่งตั้งคณะทำงานชุดใดเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อที่จะทำงานสอดประสานกัน เพราะหลายครั้งแม้มีเจ้าภาพ แต่การจะทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ยังเป็นไปได้ยาก แม้พื้นที่ชายแดนมีการทำงานในเชิงบูรณาการของหลายหน่วยงานอยู่ เช่น ศูนย์สั่งการชายแดนมีศูน และกลไกใหม่อย่าง ศอ.ปชด. ที่รัฐบาลตั้งขึ้น เพื่อจัดการปัญหาชายแดนแบบบูรณาการ แต่ถามว่าศูนย์สั่งการชายแดนถูกทำให้ยึดอยู่กับประเด็นปัญหาบางอย่างหรือไม่ เพราะปัญหาภัยคุกคามของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นปัญหาใหม่ๆทั้งสิ้น 

“เราก็ไม่เคยเจอหรอกปัญหามลพิษข้ามแดนเพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เราไม่เคยเจอหรอกว่าอยู่ดีๆ แล้วแม่น้ำทั้งแม่น้ำในจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ เกิดมลพิษในระดับที่ชาวบ้านไม่สามารถอุปโภคบริโภคได้ เราไม่เคยเจอหรอก สแกมเซ็นเตอร์ ที่หลอกเงินคนตัวเล็กตัวน้อยไปเป็นแสนๆ เราไม่เคยเจอหรอกปัญหายาเสพติดที่มันเข้มข้นขนาดนี้” 

สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำในเวลานี้ คือต้องปลดล็อคก่อนว่าปัญหามันเป็นปัญหาภัยความมั่นคงในระดับ 5 ดาวแล้ว มลพิษข้ามแดนครั้งนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่กระทบแค่ 1 หรือ 2 หมู่บ้าน แต่กระทบคนในระดับหลักล้านที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แล้วด้วยอุปนิสัยและลักษณะของปัญหาข้ามแดนที่มีทุนจีนเข้ามา คาดการณ์ได้เลยว่า ในอนาคมันจะมีความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือไม่มีความพยายามที่จะเจรจาหรือทำอะไรเพื่อยุติในพื้นที่ต้นทาง 

กลับมาที่ scam center เชื่อหรือไม่ว่า scam Centerในฝั่งของเมียวดี เพิ่งเริ่มดำเนินการกันจริงจังในช่วงหลังโควิด เริ่มจากจุดเล็กๆ เท่านั้น เคยมีคนเตือนรัฐบาลไทย ถ้าคุณปล่อยให้มันเติบโต ที่เรารู้ว่าโตเพราะว่าตึกมันเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน เราจะไปปราบปรามตอนที่มีตึกอยู่ 30-40 ตึกแล้ว มันเป็นเรื่องยาก ดังนั้นก็อยากจะร้องขอในฐานะที่ไม่ใช่แค่สงสารชาวบ้าน แต่ในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งว่ารัฐบาลจะมาปล่อยให้ปัญหารอต่อไปไม่ได้แล้ว 

ทางแก้ไขปัญหา จริงๆ รัฐต้องปลดล็อคและแสดงความจริงใจให้กับสังคม โดยต้องไม่ปฏิเสธว่าปัญหาลุ่มน้ำกกเป็นปัญหาภัยความมั่นคงขั้นสูงสุด เพราะกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างร้ายแรง ไม่ต่างจากภาวะสงคราม ฝั่งชายแดนภาคตะวันออกที่กำลังมีปัญหากัน โดยที่นั่นไม่ได้มีประชาชนที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ไม่ได้มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นล้านๆคนแบบนี้ เพียงแต่ที่นี่ยังไม่มีคนตาย และไม่มีภาพคนที่ผิวหนังไหม้เกรียม แต่ถ้าปล่อยปัญหาให้สะสมในระยะยาว ทิ้งไว้ 5 ปีหรือ 10 ปี พื้นที่นี้อาจจะมีคนที่ป่วยทั้งหมู่บ้านก็เป็นไปได้ ตอนนี้ชาวบ้านก็แทบอยู่ไม่ได้แล้ว รัฐบาลทำอะไรอยู่ 

เข้าใจว่ารัฐบาลในท้องถิ่นพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ลักษณะของรัฐบาลแบบไทยๆ คือถ้าข้างบนไม่สั่ง ข้างล่างก็ทำอะไรได้ยาก ดังนั้นส่วนตัวยังคิดว่ารัฐบาลจะเล็งเห็นว่าปัญหานี้มันมีความสลับซับซ้อนและเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องมานั่งคิดกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดไปวันๆ หรือดื่มน้ำประปาโชว์ให้เห็นว่าเป็นน้ำสะอาด และปลอดภัย เราต้องเริ่มจากการยอมรับก่อนว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริง และรัฐบาลต้องแสดงให้ประชาชนเห็นก่อนว่า พอมีปัญหาจริง รัฐบาลก็จริงใจในการแก้ไขปัญหา 

ปัญหานี้เกี่ยวโยงกับว้าแดงซึ่งไม่ได้เป็นประเทศ ดังนั้นการที่จะให้รัฐบาลไทยส่งคณะทูตพิเศษเพื่อไปพูดคุยด้วยอย่างเป็นทางการ รัฐบาลไทยไม่มีวันทำ เพราะเป็นการไปคุยกับคนในระดับที่ไม่ได้มีสถานะในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ  เพราะฉะนั้นตราบใดที่รัฐบาลไม่สามารถปลดล็อคตรงนี้ การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก

แม้ว่ารัฐว้าจะไม่ใช่ประเทศก็จริง แต่เราจำเป็นที่จะต้องพูดคุยโดยอาจจะส่งผู้ว่าราชการจังหวัด นายก อบจ. หรือใครก็ตามเข้าไปพูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง ที่ผ่านมารัฐไทยทำอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับพม่าที่เป็นชนกลุ่มน้อย รัฐบาลไทยก็จะกลัวว่ารัฐบาลที่เนปีดอว์ไม่สบายใจ แต่ในเรื่องของว้า ขอฟันธงเลยว่า รัฐบาลเนปีดอร์ก็ไม่สามารถเข้าไปทำอะไรในพื้นที่ของว้าได้ เพราะว่าเขามีความเกรงใจกันอยู่ ว้าเป็นกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เข้มแข็งและร่ำรวยที่สุดในประเทศเมียนมา ว้ามีทรัพยากรบุคคล มีทรัพยากรธรรมชาติ มีโรงงานผลิตสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ขายสินค้าในตลาดมืดให้กับชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆทั้งสิ้น ความร่ำรวยของว้าทำให้รัฐบาลเมียนมาที่เนปีดอร์ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับว้า

 “ขอแนะว่าการที่เราจะส่งคนไปคุยกับว้า เราทำได้ หลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่เป็นเรื่องจริง เราอาจต้องส่งสัญญาณไปถึงเนปีดอร์ว่าขอคุยกันนะ เพราะนี่มันคือความมั่นคงของไทย ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไป เนปีดอร์ก็คงให้คุยกัน แต่เราต้องกล้าพอนะที่จะบอกกับว้าว่า ชาวบ้านของเรากำลังเดือดร้อนจากเหมืองที่พวกคุณอนุญาตให้คนจีนเข้ามาทำ ชาวบ้านของเราตายผ่อนส่งไปวันๆ ฉะนั้นเราต้องปลดล็อคตรงนี้ก่อน”