Search

การันตีพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกกใช้ได้ เกษตรจังหวัดเผยหลังตรวจไม่พบการดูดซึมสารหนูในพืช ผืนนา 6.7 หมื่นไร่ยังทำต่อได้ แต่ชาวนายังกังวลสารหนูในน้ำ หวั่นไม่ได้ขาย-สวมบูทป้องกัน ขณะที่ประมงจังหวัดยืนยันกินปลาได้

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายปฐมพงษ์ ฤทธิแผลง ประธานเครือข่ายเกษตรกรรมลุ่มน้ำกกเขื่อนเชียงรายฝั่งขวาที่ 1 อ.เมือง จ.เชียงราย ให้สัมภาษณ์ว่าแม้ตอนนี้ผลกระทบด้านเกษตรกรรมจากสารโลหะหนักที่เกินมาตรฐานในแม่น้ำกกยังไม่ชัดเจน แต่เกษตรกรต่างรู้สึกวิตกกังวลเรื่องสารตกค้างในพืชผลการเกษตร ที่สำคัญคือในอนาคตเขาเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วจะขายพืชผลได้หรือไม่ ตนดูแลพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งขวา มีที่นาประมาณ 1.2 หมื่นไร่ ชาวนากำลังลงกล้าโดยใช้เครื่องจักรและรถปลูกข้าวและนาเหล่านี้ใช้น้ำจากเขื่อนแม่กก

“พวกเราต่างมีความวิตกกังวล กลัวเจอสารหนู ทุกคนก็ระวังตนเอง ใส่รองเท้าบูท การหากินสัตว์น้ำในแม่น้ำกก ปลา ปู ไม่กินกันแล้ว ถึงหาได้ก็ไม่ใครซื้อ ก่อนหน้านี้ก็เจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัดลงมา ได้มาแนะนำมาตรฐานเกณฑ์สารหนู เขาบอกว่าในพื้นที่นี้สารหนูไม่เกินเกณฑ์ เขาเคยมาตรวจพืชผลการเกษตร มาตรวจน้ำกกที่เขื่อน ในนาก็มาตรวจ คือว่ามีสารหนูแต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน แต่ชาวบ้านก็กลัว หากปลูกแล้วปนเปื้อนผลผลิตการเกษตรจะขายไม่ได้ ผมได้เรียนผู้ว่าราชการจังหวัดไปว่าตอนนี้เป็นห่วงอนาคตข้างหน้า” นายปฐมพงษ์ กล่าว

นายปฐมพงษ์กล่าวว่า นอกจากปลูกข้าว ยังมีพืชผลอื่นๆ พืชผัก พริก มะเขือ มะระ ที่ปลูกขายส่งตลาดทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบ และดำเนินชีวิตปกติเพียงแต่ก็มีความกังวล

นายนาคิน สมุดความ ชาวนาบ้านทรายมูล ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง กล่าวว่าใช้แม่น้ำกก น้ำฝนและน้ำบาดาลทำนา แล้วแต่ช่วงเวลา โดยหน้าแล้งทำนาปรังใช้น้ำจากคลองชลประทานที่นำน้ำมาจากแม่น้ำกก แต่นาปีส่วนใหญ่ใช้น้ำจากฟ้า อย่างไรก็ตามชาวนาส่วนใหญ่ติดตามสถานการณ์เรื่องน้ำกกปนเปื้อนสารหนูเอาจากข่าว แต่ที่เป็นห่วงคือกลัวว่าน้ำจากแม่น้ำกกจะท่วมอีก ตอนนี้กำลังไถและตัดหญ้าเตรียมพร้อมไว้ โดยปลายเดือนนี้จะเริ่มปลูกข้าวแล้ว

“ชาวนาที่นี่ยังอยู่เป็นปกติ เพราะหากไม่มีคำสั่งจากทางการผ่านมายังพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เขาก็ไม่หวาดกลัวอะไรมาก บางคนยังจับปลากินอยู่เลยและบางส่วนใช้น้ำจากฝนในหน้านี้ แต่ถ้าน่าแล้งทำนาปรังใช้จากคลองชลประทาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีชาวนาจำนวนมากในลุ่มแม่น้ำกกกำลังตั้งคำถามว่าในช่วงฤดูนาปีที่กำลังมาถึงนี้ยังสามารถทำนาได้หรือไม่ เนื่องจากสารหนูที่ปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน ดังนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย

“ยืนยันว่าชาวนาลุ่มแม่น้ำกกสามารถทำนาได้ ภายใต้การจัดการ จากการตรวจพืชในพื้นที่นาและพื้นที่เกษตรลุ่มแม่น้ำกก ในรอบแรกคือเดือนพฤษภาคมยังไม่พบการดูดซึมสารหนูของพืชที่เกษตรลุ่มน้ำกกที่ได้เก็บตัวอย่างมาตรวจ เป็นการโล่งใจได้ระดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่ปล่อยประเด็น ได้ลงพื้นที่เกษตรเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้น้ำ ติดตามการตรวจน้ำผิวดิน และน้ำในแปลงเกษตร พืช ของ 5-6 อำเภออย่างต่อเนื่อง โดยแผนระยะแรก (พ.ค.- ก.ย.) จะตรวจเดือนละ 1 ครั้งในการเก็บตัวอย่างพืชมาตรวจสารปนเปื้อน” นายเสน่ห์  กล่าว

เกษตรจังหวัดเชียงรายกล่าวอีกว่า นอกจากเก็บตัวอย่างพืชมาตรวจแล้วยังได้ดำเนินการลงตรวจแปลงนาในพื้นที่ 6 อำเภอลุ่มน้ำกก เพื่อสอบทานพฤติกรรมการใช้น้ำกกว่า มีการใช้น้ำกกโดยตรงกับใช้น้ำบาดาลเป็นพื้นที่เท่าไหร่ ส่วนในการตรวจพืชรอบแรกที่มีผลการดูดซึมสารหนูยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้วางใจ ทางเจ้าหน้าที่เกษตร ร่วมกับ พัฒนาที่ดิน และรพ.สต.ได้ลงพื้นที่ตรวจสภาพดิน โดย 2 วันที่ผ่านมาที่ อ.เวียงเชียงรุ้ง และ อ.เวียงชัย พบว่าค่า PH ของดินอยู่ระหว่าง 5-8 หากดินแปลงไหนมีค่าความเป็นกรด PH ต่ำกว่า 6 ก็ต้องปรับปรุงดินลดความเป็นกรด ใส่ปูนขาวหรือไดโลไมท์ เพราะสภาพความเป็นกรดจะให้สารหนูละลายน้ำต้นพืชจะดูดซึมสารหนู นอกจากนี้การป้องกันคือการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อลดการดูดซึมสารหนูที่ละลายน้ำ โดยทางเจ้าหน้าที่จะตรวจดินในทุกสัปดาห์

“ชาวนาที่ต้องการรู้สภาพดิน ไม่แน่ใจในดินที่จะทำนา หรือปลูกพืช สามารถติดต่อ หมอดินอาสาประจำตำบล เกษตรตำบล เพื่อตรวจสภาพความเป็นกรดในดินได้ การปลูกพืชลุ่มน้ำกกในสถานการณ์นี้ต้องบูรณาการร่วมกัน เร่งสร้างความเข้าใจ ตรวจสภาพดิน เก็บตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์เพื่อเตรียมดินให้ตรึงสารหนูไม่ให้ดูดซึมสู่ต้นพืชได้” นายเสน่ห์กล่าว

อนึ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าว ผัก ข้าวโพดฝักอ่อนตามแนวแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายมีด้วยกันทั้งสิ้น 67,983 ไร่ 6,290 ราย และปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 14,962 ไร่

ด้านนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย กล่าวว่ากรมประมงยังคงเดินหน้าตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนในสัตว์น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ทุก 2 สัปดาห์ เจาะ 4 จุดสำรวจหลัก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยมุ่งประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ คำนึงถึงความปลอดภัยในการบริโภคของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างสูงสุด

นายณัฐรัฐกล่าวว่า ได้ลงตรวจติดตามและเฝ้าระวัง 4 จุดสำคัญ ได้แก่ จุดสำรวจที่ 1 บ้านโป่งนาคำขึ้นไปถึงแคววัวดำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง  จุดสำรวจที่ 2 สะพานแม่ฟ้าหลวงบริเวณหน้าศาลากลางถึงฝายเชียงราย  จุดสำรวจที่ 3 หลังวัดสันธาตุถึงสบกก ต.โยนก อ.เชียงแสน  และจุดสำรวจบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ จุดสำรวจที่ 1 ชายแดนไทย-พม่า หย่อมบ้านแก่งตุ๋ม ต. อ.แม่อาย ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2568 เดือนละ 2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ที่ 1 และสัปดาห์ที่ 3 ต่อเนื่อง

ประมงจังหวัดเชียงรายกล่าวว่าได้ดำเนินการรวบรวมเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำที่ได้จากชาวประมง แพปลา และเจ้าหน้าที่กรมประมงทำการสุ่มเก็บด้วยตนเอง พร้อมจัดแบ่งประเภทสัตว์น้ำที่เก็บตัวอย่าง ปลากินพืชและปลากินเนื้ออย่างน้อยชนิดละ 1 กิโลกรัม ทำการบันทึกภาพ บันทึกความยาวและน้ำหนักเป็นรายตัว นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ในการตรวจสอบตัวอย่างสัตว์น้ำ เพื่อหาการปนเปื้อนของสารพิษที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd)  นอกจากนี้ ยังมีการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียวิทยา ไวรัสวิทยา และพยาธิวิทยา เพื่อวินิจฉัยโรคเบื้องต้นในห้องปฏิบัติการของกองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง

“ผลการตรวจล่าสุดของจุดสำรวจจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 1-2 มิถุนายน ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ของการสำรวจในสัตว์น้ำจำนวน 23 ตัวอย่าง พบว่าไม่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานอาหารปลอดภัย ตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข (ฉบับ 414) พ.ศ 2563 ประชาชนจึงยังสามารถใช้บริโภคได้ โดยการปรุงสุกก่อนรับประทาน แต่สัตว์น้ำที่วางจำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่มาจากการเพาะเลี้ยงที่ไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ดังนั้นพี่น้องประชาชนจึงยังคงเลือกบริโภคสัตว์น้ำได้อย่างปลอดภัย” นายณัฐรัฐ กล่าว 

ประมงจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า เกษตรกรเพาะเลี้ยงจังหวัดเชียงราย ขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ 17,668 ราย มีผลผลิตประมาณ ปีละ 15,000 ตันต่อปี  เกษตรกรทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนโลหะหนักจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขงเนื่องจากไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำดังกล่าวในการเลี้ยงปลา โดยสัตว์น้ำส่วนใหญ่ที่เลี้ยงเป็นปลานิล และกุ้งก้ามกราม มีผู้ทำการประมงจำนวนประมาณ 300 ราย ซึ่งจะสลับกันทำการประมงตามห้วงเวลาและฤดูกาลของผลผลิตสัตว์น้ำโดยจับสัตว์น้ำอยู่ในช่วงนี้ประมาณ 50 ราย โดยจับปลาเฉลี่ย 5 – 10 กก./วัน /รายมีรายได้เฉลี่ยวันละ 500 บาท โดยชาวประมงยังคงทำการประมงได้ตามปกติ แต่มีผลกระทบด้านราคาที่ลดลงบ้าง

On Key

Related Posts