Search

การแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สายไม่คืบ ชาวเชียงรายนัดรวมตัวอีก จัดกิจกรรมเวทีฟังเสียงผู้เดือดร้อน-นิทรรศการแม่น้ำเปลี่ยนสี เชิญกสม.-ผู้แทนสถานทูตจีนร่วม “ดร.สืบสกุล”จี้รัฐเปลี่ยนวิธีเจรจาปิดเหมืองต้นน้ำ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 นางรักษ์ดาว พริชาร์ด ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง กล่าวว่าจะมีการจัดงาน “ปอยหลวง เพื่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง” ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย “ขัวศิลปะ” จ.เชียงราย โดยจะเริ่มด้วยการแสดงดนตรีเยาวชน Chiang Rai Youth Orchestra ในเวลา 14.00 น. จากนั้นเป็นวิชาการ “หาแนวทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือเหมืองเถื่อนที่ต้นน้ำในพม่า” นำเสนอโดยพระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกขมฺโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน จ.เชียงใหม่ นายบัณฑิตย์ พันธ์พลากร ประธานสภาเทศบาลตำบลเวียงพางคำ อ.แม่สาย นายเวสารัช โสภณดิเรกรัตน์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะมาแนวทางการสร้างฝายดักตะกอนสารพิษ ผศ.ดร.ศิตางศุ์ พิลัยหล้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นส.ชลาลัย นาสวนสุวรรณ ตัวแทนชุมชนคลิตี้ และผู้เชี่ยวชาญการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพโดยชุมชน

นางรักษ์ดาวกล่าวว่า ช่วงที่สอง จะเป็นเวทีฟังเสียงประชาชน ข้อกังวลต่อปัญหามลพิษข้ามพรมแดน สารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำที่มีต้นน้ำอยู่ในรัฐฉาน นำการหารือโดยคุณเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย และศยามล ไกรยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมด้วยประชาชนในพื้นที่ เกษตรกร ผู้ใช้น้ำ เยาวชน ฯลฯร่วมรับฟังโดย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย หรือผู้แทน ดำเนินรายการโดย ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีผู้แทนจากสถานทูตจีนมารับฟังประชาชนในลุ่มน้ำ เพราะขณะนี่เรามีความหวาดหวั่นใจมากที่มีการทำเหมืองแร่นอกกฎหมายที่ลงทุนโดยคนจีน ที่ต้นน้ำในรัฐฉาน ประชาชนต้องการให้ยุติเหมืองเหล่านี้และฟื้นฟูระบบนิเวศทันที” ผู้ประสานงานเครือข่ายกล่าว และว่าจากนั้นจะเป็นพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะ “เมื่อธาราเปลี่ยนสี” ซึ่งร่วมโดยศิลปินเชียงราย งานดนตรี กิจกรรมวัฒนธรรมเพื่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง และกาดศิลปินซึ่งคาดว่าจะมีผู้มาร่วมอย่างคับคั่ง

ด้าน ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังมีอีกหลายด้านที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ซึ่งตนเห็นว่าการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย ยังมีความจำเป็นอยู่ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบความเสี่ยงทั้งในคน น้ำ ดินและห่วงโซ่อาหาร เพราะเชื่อว่าสารพิษยังอยู่ในแม่น้ำไปอีกหลายปี ขณะที่ภาระหนักตกอยู่ที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ดังนั้น เราควรเสริมสร้างให้มหาวิทยาลัยต่างๆในเชียงรายได้ช่วยกัน นอกจากนี้บางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานด้านการเกษตร เรายังไม่เห็นแผนและผลในการตรวจซึ่งสำคัญมาก เพราะดูแลพื้นที่เกษตรกรรมนับแสนไร่ เราต้องการให้มีการทำแผนที่ความเสี่ยงเพื่อเฝ้าติดตาม รวมถึงแผนที่ห่วงโซ่และแผนรองรับว่าจะจัดการอย่างไร

อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า เช่นเดียวกับหน่วยงานสาธารณสุขก็ยังไม่เปิดเผยแผนและผลตรวจฉบับสมบูรณ์ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับประชาชน ซึ่งพวกเขาควรได้รับรู้เพื่อที่จะได้วางแผนชีวิตของตัวเองได้ โดยน่าจะเปิดเผยเช่นเดียวกับที่กรมควบคุมมลพิษดำเนินการคือสามารถเข้าไปดาวโหลดข้อมูลมาดูได้เลย

“สิ่งที่ผมรู้สึกเป็นห่วงมากคือเรื่องการทำนาพื้นที่ที่ใช้น้ำกก น้ำสาย น้ำรวม เพราะการที่ผู้ว่าฯยืนยันว่ายังใช้น้ำกกทำนาได้ แต่ต้องทำค่าpHให้เหมาะสม เช่น ใส่ปูนขาว ผมเห็นว่าคำสั่งแบบนี้ไม่มีผลทางปฎิบัติสำหรับชาวบ้าน หากต้องการให้ใส่ปูนขาว รัฐก็ควรจัดหาให้  ที่บอกว่าใช้น้ำแหล่งอื่นได้ก็ให้ใช้ไปก่อน แล้วชาวนาจะไปเอาจากที่ไหน ผมเป็นห่วงว่าผลผลิตนาปีราว 1 แสนไร่มีความเสี่ยงปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน หากเป็นเช่นนั้นรัฐจะรับผิดชอบอย่างไร ยิ่งมีการส่งข้าวขายไปทั่วประเทศ ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ให้งดทำนาปีไปก่อน แต่รัฐต้องจ่ายค่าชดเชยให้ชาวนา”ดร.สืบสกุล กล่าว

ดร.สืบสกุลกล่าวว่า รัฐต้องเร่งจัดหาน้ำดื่มปลอดภัยให้กับนักโทษ 4 พันคนในเรือนจำดอยฮางโดยเร็วที่สุด เพราะที่ผ่านมานักโทษใช้น้ำที่มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานน้ำดื่มทั่วไป แม้ว่าผู้บัญชาการเรือนจำกลางได้แจ้งว่ามีการสุ่มตรวจเลือดผู้ต้องขังแล้วโดยไม่พบความผิดปกติ แต่นั่นก็เป็นเพียงการสุ่มตรวจไม่กี่คน นักโทษคนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไป จึงควรได้รับน้ำสะอาดปลอดภัย นอกจากนี้รัฐต้องเยียวยาให้กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบระยะสั้น เช่น กลุ่มผู้ค้าขายริมแม่น้ำกก กลุ่มทัวร์ช้าง เพราะคนเหล่านี้สูญเสียรายได้หมด แต่รัฐยังไม่ได้ให้การช่วยเหลือใดๆเลย

“รัฐต้องยกเลิกแนวคิดสร้างฝายดักตะกอน เพราะยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่าแก้ปัญหาสารโลหะหนักได้ และอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา รวมทั้งทำลายระบบนิเวศ เรามีตัวอย่างความล้มเหลวจากลำห้วยคลิตี้มาแล้ว ควรเอางบประมาณก้อนนี้มาชดเชยผู้ได้รับผลกระทบดีกว่า”นายสืบสกุล กล่าว

อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า ที่สำคัญที่สุดคือต้องหยุดแหล่งปล่อยสารพิษคือหยุดเหมืองแร่ที่ต้นแม่น้ำกกและสายให้ได้ โดยรัฐบาลต้องเปลี่ยนแนวทางเจรจากับเพื่อนบ้านใหม่ เพราะตอนนี้ใช้กลไกปกติ เช่น กระทรวงการต่างประเทศประสานไปที่พม่า และกระทรวงการต่างประเทศบอกว่าส่งหนังสือไปแล้ว  แต่รัฐมนตรีของพม่าไม่ว่างจึงต้องเลื่อนออกไปอีกซึ่งไม่ทันเวลา ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงเน้นไปที่การเจรจาเพื่อให้ปรับปรุงเหมืองให้ได้มาตรฐาน แต่ใช้ไม่ได้ในกรณีนี้ เพราะคนที่ทำเหมืองส่วนใหญ่หนีมาประเทศจีนหลังจากรัฐบาลจีนได้ออกกฏหมายเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้คนกลุ่มนี้หนีมาทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งปราศจากมาตรฐานใดๆ  

“เปรียบเทียบกับกรณีที่ไทยและกัมพูชากำลังมีปัญหากัน ทำไมทหารไทยถึงทำได้มากกว่าการเจรจา เช่น การ แสดงจุดยืนของไทย หรือโทรคุยระหว่างผู้นำประเทศ แต่กรณีเหมืองแร่ที่ต้นแม่น้ำกกกลับมุ่งไปที่เรื่องการเจรจาโดยที่ไม่มีมาตรการจากเบาไปหาหนัก หากรัฐบางมุ่งมั่นที่จะปิดเหมืองแร่ที่ต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างถาวร เราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้”นายสืบสกุล กล่าว

————