เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 นายภัทรพงษ์ ลัลาภัทร์ สส.จังหวัดเชียงใหม่ และรองโฆษกพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมส่งตัวแทนไปเจรจากับทางการพม่าที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศพม่า เพื่อแก้ไขปัญหาเหมืองแร่ต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายปล่อยสารโลหะหนักลงแม่น้ำ จนทำให้แม่น้ำ 4 สายมีโลหะหนัก ได้แก่สารหนู ตะกั่วและแมงกานีส เกินค่ามาตรฐานว่า หากดูจากท่าทีรัฐบาล ก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างเพียงพอ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อกว่า 2 เดือนก่อนจนพบสารโลหะหนักในแม่น้ำ แต่การเจรจากับต่างประเทศยังไม่เห็นเป็นที่ประจักษ์ เป็นเพียงการพูดคุยระหว่างหน่วยงาน สถานทูต แต่ยังไม่มีการหารือระหว่างผู้นำต่อผู้นำ ซึ่งสำคัญมาก
นายภัทรพงษ์กล่าวว่า เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้สถานเอกอัคราชทูตจีนออกมาพูดถึงในเรื่องนี้ แต่ว่าแทบจะไม่ได้มีประเด็นใดชัดเจน เพียงแต่ให้ไทยไปหารือกับทางการเมียนมา แสดงว่าที่ที่ผ่านมาเราไม่ได้มีความชัดเจนใจการเจรจาระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือเราต้องมีเป้าหมายชัดว่าต้องการอะไรจากจีน เพราะตอนนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่นำไปหารือกับเขา เราทราบว่าจีนกำลังผลักดันนโยบาย green supply chain (ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว) มีกฎหมายควบคุมการผลิตแร่แรร์เอิร์ท เราสามารถขอข้อมูลว่าที่ผ่านมาการตรวจสอบนำเข้าแร่แรร์เอิร์ทจากรัฐคะฉิ่น รัฐฉาน เป็นอย่างไร หากมีจุดอ่อน เช่น มีการสวมแร่ ก็สามารถใช้กลไกกรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้างแม่น้ำโขง (Lancang Mekong Corporation-LMC) มาช่วยได้ เพราะตอนนี้เราแทบไม่มีข้อมูล
“ผมเชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงของเรามีข้อมูลเหมืองแร่ที่ต้นแม่น้ำสาย และแม่น้ำกกชัดเจนอยู่แล้วกว่า 20 เหมือง และเป็นเหมืองอะไรบ้าง มีใครอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เหลือแค่ให้ฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องลงมาทำงานจริงจัง” รองโฆษกพรรคประชาชน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่จีนปฏิเสธว่าไม่มีบริษัทจากจีนเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ ควรทำอย่างไรต่อ นายภัทรพงษ์กล่าวว่า การนัดหารือกับเมียนมาเพื่อตรวจสอบเหมืองแร่ในพื้นที่อิทธิพลของกองกำลังว้า อาจไม่เพียงพอ แต่ควรใช้กลไก LMC เข้าร่วมด้วย รวมทั้งจีน ต้องมีผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์และเหมืองแร่ร่วมด้วย เราต้องคุยกับจีนให้ชัดว่า เราต้องการตรวจสอบ supply chain แล้วดูว่าจะอุดช่องโหว่ได้อย่างไร กรณีที่ต้นแม่น้ำสายมีเหมืองทองคำหลายแห่ง และมีข้อมูลว่านำเข้าจีนน้อยมาก ซึ่งก็เป็นที่ทราบว่านำเข้าแบบไม่เป็นทางการ คือลักลอบนำเข้า ตนจึงเสนอให้ใช้กลไก LMEC (Lacang Mekong Environmental Cooperation) ซึ่งเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยตรง มีแผนปฏิบัติการ action plan และกรอบเรื่องมลพิษ ซึ่งสามารถออกแผนปฏิบัติการได้ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่าควรกำหนดเวลาหรือไม่เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นเพียงการซื้อเวลา สส.เชียงใหม่กล่าวว่า ใช่จำเป็นต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ก่อนหน้านี้พูดถึงข้อตกลงแม่น้ำโขง ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) แต่จีน พม่า ไม่ได้เป็นสมาชิก หากใช้กรอบ LMC ต้องเกิดเร็วที่สุดและมีแผนปฏิบัติการลงพร้อมๆ กัน เช่น ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ร่วมลงพื้นที่โดยไทย จีน เมียนมา จริงๆ ควรต้องเกิดมานานแล้วแต่ตอนนี้ต้องเร่งทำ
เมื่อถามอีกว่า ประชาชนในพื้นที่รู้สึกกังวล หากเกิดน้ำท่วมมาจากต้นแม่น้ำกกเหมือนปีที่แล้วอาจมีสารพิษปนเปื้อนมาด้วย แต่ยังไม่มีมาตรการใดๆจากภาครัฐแนะนำ นายภัทรพงษ์กล่าวว่า หากน้ำไหลมาจากต้นแม่น้ำกกหรือต้นน้ำพิษ จะเป็นอันตรายกับประชาชนมาก ดังนั้นควรแจ้งเตือนภัยและการสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน เพราะเวลานี้ยังสื่อสารไม่ชัดเจนเลย ต้องมีเกณฑ์กำหนดวิธีการทำงาน protocol ของป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และต้องเร่งปรับแก้หลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ประสบสาธารณภัยของกรมบัญชีกลาง ที่ปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมถึงสารพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดนเปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทหารพม่าร่วม 100 นาย ที่ประจำการอยู่บริเวณฐานชายแดนด้านตรงกันข้ามกับ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ พร้อมนายทหารพม่าอีกจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาจากกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำเหมืองแร่ในเขตเมืองสาด บริเวณต้นแม่น้ำกก โดยได้สั่งปิดเหมืองแร่เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ขณะที่เหมืองแร่ใหญ่ยังคงดำเนินการได้โดยมีแรงงานหลายร้อยคนยังอยู่ในพื้นที่
“ก่อนหน้านี้ทหารพม่าจากเนปิดอว์ได้เข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำกก แต่เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะรู้กันอยู่ว่า ทหารพม่าได้รับส่วนแบ่ง 30% จากการทำเหมือง ที่เขาต้องตรวจสอบครั้งนี้ก็เพราะภาคประชาชนในประเทศไทยออกมาเคลื่อนไหว ทำให้เนปิดอว์ต้องการลดแรงกดดัน จึงต้องลงพื้นที่เป็นคำตอบ” แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับกรณีที่ทางการจีนแจ้งกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และสถานทูตจีนประจำประเทศไทยแจ้งกับ สส.พรรคประชาชน ว่าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีคนจีนเข้าไปร่วมในกิจการทำเหมืองแร่ในต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายนั้น ข้อเท็จจริงคือกลุ่มคนจีนที่เข้าไปทำเหมืองได้ใช้บัตรประชาชนพม่ามาตั้งแต่ต้น เพราะการได้บัตรประชาชนในพม่านั้นง่ายมากโดยเฉพาะเมื่อคนจีนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับทหารว้า เช่นเดียวกับพวกจีนเทาที่ได้บัตรประชาชนไทย ขณะที่เขตปกครองพิเศษว้าอยู่ติดกับประเทศจีนจึงทำให้มีการทำบัตรประชาชนพม่าได้อย่างสะดวก เพราะว้ากับจีนมีความใกล้ชิดกันอยู่แล้วและสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทในนามคนพม่า โดยกลุ่มคนจีนเหล่านี้ได้เข้ามาทำเหมืองแร่ต่างๆ เช่น แรร์เอิร์ท ทองคำ แมงกานีส ในประเทศพม่าเนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงกฏหมายด้านการทำเหมืองและควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของจีน
“ทางการจีนเขาก็รู้ดี เพียงแต่เขาหลับตาข้างหนึ่ง โดยเฉพาะการทำเหมืองแรร์เอิร์ทที่เป็นสินค้ายุทธปัจจัย เพราะปีหนึ่งๆเขานำเข้าจากพม่ากว่า 50% เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เพราะแรร์เอิร์ทจากพม่าต้องเข้าสู่กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในจีน” แหล่งข่าว กล่าว