เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า วิกฤตมนุษยธรรมที่รัฐบาลไทยเพิกเฉยไม่ได้คือกรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณสนับสนุนองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้ง 9 แห่ง บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นผู้หนีภัยการสู้รบอพยพจากฝั่งประเทศเมียนมา โดยจริงๆแล้วคนกลุ่มนี้คือผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยไม่สามารถให้สถานะผู้ลี้ภัยได้ เพราะไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยปี 1951 (1951 Refugee Convention) ไทยจึงดูแลผู้ลี้ภัยเหล่านี้อย่างมีข้อจำกัดมาตลอด 40 ปี โดยเฉพาะการพึ่งพางบประมาณจากองค์กรระหว่างประเทศ/องค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGOs ไทยและต่างชาติ
สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า โดยที่ผู้ลี้ภัยไม่สามารถออกนอกค่ายได้ (ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยและการวางนโยบายของ สมช.) ซึ่งไม่ต่างจากค่ายกักกันดีๆ นี่เอง ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีก่อนตนเคยเสนอให้ ‘เปิดเพื่อปิด’ ทั้งนี้การจะปิดค่ายในประเทศไทยด้วยการส่งกลับผู้ลี้ภัยไปเมียนมา ยังเป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งปัญหาการเมืองในเมียนมาหลังการรัฐประหาร ยิ่งมีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในประเทศพม่าเพิ่ม
“การส่งกลับคนกว่า 80,000 คน ย่อมทำไม่ได้ในชั่วข้ามคืน หรือในช่วง 2-3 ปี แต่มันอาจใช้เวลามากกว่า 10 ปี ด้วยซ้ำ” นายกัณวีร์ กล่าว และว่า การดูแลค่ายผู้ลี้ภัยไม่ได้ใช้งบรัฐบาลไทย นอกจากงบของเจ้าหน้าที่กรมการปกครองที่ดูแลค่าย ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่ภาระของคนไทย แต่เมื่อเกิดวิกฤตงบประมาณ ไทยในฐานะเจ้าของพื้นที่ต้องหาทางออกเพื่อมนุษยธรรม
“ผมได้เสนอไปตั้งแต่แรกว่าการ เปิดเพื่อปิด หมายถึง เปิดให้ผู้ลี้ภัยได้เป็นแรงงานถูกกฎหมาย ได้ออกมานอกค่าย ได้ทำงานเพื่อจะมีรายได้ ต้องเข้าใจว่าคนในค่ายที่อยู่มา 40 ปี ต่างผ่านมาหลายรุ่นแล้ว บางคนเกิดในค่าย มีลูกหลาน คนพวกนี้มีความรู้ความสามารถ ที่ได้รับการศึกษาในค่าย ถ้าเราจัดหางานที่เหมาะสม พวกเขา สามารถมีรายได้เลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณ ย่อมเป็นทางออกที่ดี” นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า ข้อเสนอให้นำผู้ลี้ภัยในพื้นที่พักพิงฯ มาทำงานข้างนอกนั้น โดยสัดส่วนจำนวนวัยแรงงานของประชากรผู้ลี้ภัยใน 9 แห่ง มีประมาณ 65% ประมาณ 52,000 คน ขณะที่ความต้องการแรงงานที่ไม่มีทักษะซึ่งเป็นข้อมูลของกระทรวงแรงงานมีกว่า 2 แสนอัตรา ดังนั้นทำไมไม่เอาผู้ที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมาเติมเต็ม ขณเดียวกันแรงงาน MOU ที่นำเข้าจากเมียนมาชะงักลงเพราะสถานการณ์ในเมียนมาเองและรวมถึงสถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดน ยังไม่รวมถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่จะกระทบการนำเข้าแรงงาน MOU จากกัมพูชาอย่างแน่นอน ดังนั้นควรนำผู้ที่อยู่ในค่ายเข้ามาทดแทน
“ผู้ลี้ภัยที่ลักลอบออกมาทำงานนอกพื้นที่ทั้ง 9 แห่ง จะไม่ต้องตกอยู่กับขบวนการเก็บส่วยและนำพาออกมาทำงานอย่างผิดกฎหมายอีกต่อไป เงินเป็นหมื่นล้านบาทที่สะพัดจากการเก็บค่าส่วย ค่านายหน้า ค่าต่างๆ ในธุรกิจผิดกฎหมาย จะหมดไป รัฐบาลกล้าหรือไม่”นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า เมื่อผู้ที่อยู่ในค่ายได้ทำงานเป็นแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การชำระภาษีทั้งของนายจ้างและลูกจ้างเองต่อประเทศไทยก็จะเป็นรายรับที่สามารถประมาณการได้ต่อปี นอกจากนี้ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เมื่อพวกเขาเสียภาษีเหมือนคนไทยและโดยไม่แย่งงานคนไทยแล้ว ก็สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ เหมือนแรงงานข้ามชาติทั่วไป ลูกๆ ก็สามารถได้รับการศึกษาจากภาษีและค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับรัฐ
นายกัณวีร์กล่าวว่า อีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรของไทยจะลดลงเหลือเพียงคือ 30 กว่าล้านคน ในเชิงปริมาณเราจะไม่สามารถหาประชากรมาเพิ่มได้ทันเพราะเราเป็นสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบไปแล้ว ดังนั้นจึงควรคัดคนเข้ามาเพิ่ม และให้มาร่วมพัฒนาประเทศตั้งแต่ตอนนี้ เน้นคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพไปด้วยในตัว
“ด้านความมั่นคง พื้นที่พักพิงฯ ทั้ง 9 แห่ง ถือเป็นภัยความมั่นคงของชาติมาอย่างยาวนาน หน่วยข่าวทหารและพลเรือนถูกส่งแฝงตัวเข้าไปดูว่าพวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ ดังนั้นปิดเสียเถอะ เปลี่ยนภาระนี้ให้เป็นพลังร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย” นายกัณวีร์ กล่าว