เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นพ.กิตติพันธุ์ ฉลอม ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)เชียงใหม่ แถลงถึงกรณีที่มีข่าวว่าตรวจพบสารหนูในเด็กที่บ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม 2 ราย เกินค่ามาตรฐาน ว่า เมื่อมีการตรวจพบสารตะกั่วและสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกกบริเวณท่าตอนเมื่อวันที่ 3เมษายน 2568 ทางสาธารณสุขจึงได้เข้าไปสำรวจในแหล่งน้ำใช้ของประชาชนเมื่อวันที่ 8 เมษายน และประเมินผู้ป่วยที่อาจได้รับสารพิษ แต่ไม่พบความผิดปกติ และเราได้เฝ้าระวังต่อเนื่องในชุมชน
นพ.กิตติพันธุ์กล่าวว่า ได้มีการไปสำรวจแหล่งน้ำทั้ง 9 แห่งในชุมชน แต่ไม่พบสารโลหะหนักมีค่าเกินมาตรฐาน แต่เราก็เก็บตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวัง และสุ่มตรวจปัสสาวะประชาชน 5 ราย โดยค่ามาตรฐานต้องไม่เกิน 100 ไมรโครกรัม/ลิตร ซึ่งจากการตรวจก็ไม่พบสารหนูในกลุ่มตัวอย่างเกินเกณฑ์ และในเดือนพฤษภาคมได้มีการสุ่มตรวจอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบผู้ป่วยที่มีค่าสารหนูเกินกำหนด อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องมีการตรวจต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมได้เก็บตัวอย่างน้ำและปัสสาวะต่อเนื่อง
“เรามีการสุ่มตรวจหาสารปนเปื้อนในเกษตรก็ยังไม่พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐาน เรายังติดตามต่อโดยเฉพาะเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค และตรวจปัสสาวะโดยใช้ อสม.ในพื้นที่ สิ่งที่เราต้องการเน้นย้ำและสร้างความตระหนัก เพราะสารหนูมีทั้งอาการตั้งแต่เฉียบพลันและเรื้อรัง ที่ต้องเฝ้ายระวังคือเฉียบพลัน และหากได้รับสารพิษอาจมีปัญหาด้านประสาท เช่น ชา หรืออาจมีเรื่องผิวหนังสีดำ ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบ เราได้เน้นย้ำร่วมกับพื้นที่ เราประสานกับพื้นที่หลีกเลี่ยงการนำน้ำกกมาใช้โดยเฉพาะการนำมาบริโภค หากมีอาหารผิดปกติ ปวดท้อง ชาปลายมือปลายเท้า ขอให้รับการตรวจที่สถานพยาบาลใช้บ้าน”นพ.กิตติพันธุ์ กล่าว และว่า เราไม่มีเรื่องของการปิดบังข้อมูล เพราะประชาชนต้องทราบข้อมูลเพื่อหลีกเลี่ยง
“สิ่งที่เราดำเนินการคือเฝ้าระวังเชิงรุก เราเป็นห่วงเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง จึงต้องสุ่มตรวจเฝ้าระวัง สารหนูไม่ควรเกิน 100ไมโครกรัม/ลิตร กลุ่มตัวอย่างที่เราตรวจมีตั้งแต่ไม่เจอสารหนูจนถึงพบ 60 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐาน ณ ขณะนี้จริงๆแล้ว กลุ่มตัวอย่าง 10 รายที่ตรวจไปแล้ว 2 ครั้ง ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ”นพ.กิตติพันธุ์ กล่าว
นพ.กิตติพันธุ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้เก็บ 10 ตัวอย่าง ทั้งเด็ก หญิงตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ โดยไม่มีใครมีผลเกินเกณฑ์มาตรฐานคือ 100 ไมโครกรัมต่อลิตร แต่เรายังติดตามต่อเนื่องเพื่อหาสารปนเปื้อนในปัสสาวะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ปฎิเสธใช่หรือไม่ว่าเจอสารหนูในร่างกายจริง นพ.กิตติพันธุ์กล่าวว่า โดยปกติสารหนูมีอยู่ในธรรมชาติแต่เมื่อใดที่มีการเปิดหน้าดินอาจทำให้มีสารหนูออกมาปนเปื้อนซึงทางสาธารณสุขก็กังวลใจ ถามว่าเราเจอสารหนูมั้ยคือเราเจอ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้เราไม่มีข้อมูลที่นำมาเปรียบเทียบ เราจึงต้องติดตามต่อเนื่องว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นหรือไม่ ถ้าแนวโน้มสูงขึ้นแต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานก็อาจต้องมีมาตรการเชิงรุกมากขึ้น
เมื่อถามว่าใน 10 ที่ตรวจพบค่าสารหนูสูงสุดเท่าไร นพ.กิตติพันธุ์กล่าวว่า สูงสุดอยู่ที่ 60 ไมโครกรัมต่อลิตรโดยใน 10 รายเจอทั้งหมด 9 ราย แต่ไม่เจอเลย 1 ราย
“เรากระจายสุ่มกลุ่มตัวอย่างมาตรวจ ตอนนี้ยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยได้รับสารพิษเกินมาตรฐาน แต่ในพื้นที่เฝ้าระวังก็มีผู้ป่วยที่น่าสงสัยคือมีผื่นซึ่งตอบได้ยากว่าเป็นการปนเปื้อนจากสารอินทรีย์ทั่วไปหรือไม่ ส่วนอาการอื่นๆยังไม่เจอ”นพ.กิตติพันธุ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าในรายที่ตรวจพบสารหนูจะส่งผลระยะยาวหรือไม่ นพ.กิตติพันธุ์กล่าวว่า แน่นอนว่าอาการของสารหนูมีทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ดังนั้นจึงไม่ได้สรุปตอนนี้ว่าปลอดภัย และยังต้องเฝ้าระวังเพราะว่าผลเรื้อรังยังไม่สามารถสรุปได้ภายใน 1-2 ปี ดังนั้นเราจึงยังต้องเฝ้าติดตามอยู่เสมอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ที่มีสารหนูอยู่ในตัวแล้วควรปฎิบัติอย่างไร นพ.กิตติพันธุ์กล่าวว่า ควรหลีกเลี่ยงแหล่งปนเปื้อนและสังเกตอาการ โดยในส่วนผู้ที่มีสารหนู ทางสาธารณสุขมีระบบในการติดตามอาการ เมื่อไรที่มีอาการผิดปกติก็มีระบบตรวจรักษา การที่ตรวจเจอสารหนูนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของรายใดรายหนึ่ง แต่เป็นการสะท้อนว่าสภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อมมีการปนเปื้นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากสื่อสารคือ ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่การเฝ้าระวัง ควรออกแบบร่วมกันกับชุมชนเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ทางสาธารณสุขจะเข้าไปหาความรู้เพื่อลดความเสี่ยง”นพ.กิตติพันธุ์ กล่าว
———-