เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าว The Reporters และ สำนักข่าวชายขอบได้ร่วมกันจัดเสวนาออนไลน์ กรณีที่ The Border Consortium (TBC) และ IRC (International Rescue Committee) สององค์กรสาธารณกุศล กำลังจะยุติการให้ความช่วยเหลือในค่ายผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งชายแดนไทย-พม่าในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสั่งตัดงบประมาณสนับสนุน ซึ่งจะทำให้ผู้ลี้ภัยราว 100,000 คนได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีงบประมาณด้านอาหารและสุขภาพ โดยมี ผศ.ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม เป็นวิทยากร น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ดำเนินรายการ
ผศ.ดร.จิราพร กล่าวว่าค่ายผู้ลี้ภัยเคยมีสหรัฐ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และองค์กรต่างๆให้การสนับสนุน เมื่อถูกตัดความช่วยเหลือทำให้มีคำถามว่าไทยต้องเป็นผู้ดูแลหรือไม่ โดยค่ายผู้ลี้ภัยก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี1984 ที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยก็ได้ดูแลตัวเองในระดับหนึ่ง การจัดการทะเบียน ต่อมา IRC ได้งบประมาณเข้ามาช่วยเหลือก่อนจะถูกตัดงบจากนโยบายทรัมป์ ผู้ลี้ภัยเองก็พยายามหาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เป็นผู้ลี้ภัยมาช่วยเหลือกันเอง และรับบริจาคในต่างประเทศเพื่อซื้ออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลในค่าย
“มีผู้นำชุมชนดูแลผู้ลี้ภัย เนื่องจากรัฐบาลไทยบอกว่าค่ายผู้ลี้ภัยเป็นค่ายชั่วคราว สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างต้องทำด้วยไม้สามารถรื้อออกได้ แล้ว 40 ปีที่ผ่านมายังเรียกว่าชั่วคราวได้อยู่หรือไม่ คนในค่ายเป็นกลุ่มชาติพันธ์ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง แต่ก็มีคะฉิ่น ลาหู่ กะเหรี่ยงแดง นากา ฯลฯ จากพม่า TBCให้ใช้ไม้ในการปลูกบ้าน มีใบตองตึงที่ 5 ปีต้องเปลี่ยน TBC จะช่วยสนับสนุน ส่วนข้าว ไข่ น้ำปลา อาหารพื้นฐานมากๆ ก็ไม่มี บางคนก็ปลูกผักขายคนในค่าย มีรายได้ กลุ่มหนึ่งที่มีการศึกษาก็จะทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ครู ต่อมาปี 2006 ที่มีผู้ได้อพยพไปประเทศที่ 3 บางส่วนก็ส่งเงินกลับมา” ผศ.ดร.จิราพร กล่าว
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า แรกตั้งค่ายปี 1984 มีผู้ลี้ภัยประมาณหมื่นกว่าคน ต่อมาปี 1995 เพิ่มเป็นหลักแสนคนเนื่องจากกะเหรี่ยงถูกกองกำลัง BGF โจมตี ทำให้คนต้องอพยพมาฝั่งไทยเพิ่มขึ้น โดยเด็กบางคนเรียนต่อในสถาบันต่างประเทศที่เปิดคอร์สออนไลน์ได้ปริญญาตรี แต่ประเทศไทยไม่เคยมองเห็นแล้วดึงศักยภาพมาใช้ เพราะบางคนมองว่าผู้ลี้ภัยงอมืองอเท้าต้องรอความช่วยเหลือจากต่างประเทศตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่
“เขาเกิดมาก็โตมาในค่าย เรียนหนังสือในค่าย พูดภาษาไทยได้ ร้องเพลงชาติไทย รู้สึกถึงความเป็นไทยมากกว่าพม่า จริงๆ แล้วสังคมเราก็เคยชินแล้วก็รู้จักกับผู้ลี้ภัยค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราจะทำให้มันเป็นทางการ คนจำนวนเยอะ 80,000 คน เข้ามาจะบูรณาการเขายังไง สังคมไทยมองและเปิดใจมากแค่ไหน” ผศ.ดร.จิราพร กล่าว และว่าสำหรับการรักษาสภาพให้ค่ายพักพิงชั่วคราวเป็นค่ายปิดแบบนี้ การจำกัดให้อยู่ในค่ายแบบนี้ แล้วใครได้ประโยชน์กันแน่ ทำไมค่ายผู้ลี้ภัยต้องโดนไฟไหม้ทุกปี ขอ camp pass (เอกสารออกนอกค่าย) ใครได้ประโยชน์
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง กล่าวว่า เมื่อพูดถึงผู้ลี้ภัยหมายถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องมนุษยธรรม จำเป็นต้องมีการวางแผนเผชิญวิกฤต โดยผู้ลี้ภัยเป็นปัญหายืดเยื้อมีการตั้งค่ายตั้งแต่ปี 2527 สถานการณ์ฉุกเฉินไม่ควรจะยืดเยื้อมานานกว่า 41 ปี โดยเฉพาะทั้ง 9 แห่งในประเทศไทย ซึ่งน่าจะยืดเยื้อเป็นอันดับ 2 ในสถานการณ์ผู้ลี้ภัยของโลก รัฐบาลไทยมอบพื้นที่ให้มีการตั้งค่าย ดูแลโดยกระทรวงมหาดไทย ทุกค่ายจะมีคณะกรรมการค่ายทำงานร่วมกัน งบประมาณทั้งหมดมาจากต่างประเทศ ไทยจะจ่ายเงินแค่ค่าพื้นที่ ดูแลเงินเดือนเจ้าหน้าที่ เบี้ยเลี้ยงทหารที่เข้าไปลาดตระเวน
เลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวอีกว่าการแก้ปัญหาในค่ายผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืนมี 3 เรื่อง คือ 1 ให้ผู้ลี้ภัยเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2017 มีคนกลับไป 3,000 กว่าคน หลังจากมีการทำสัญญาหยุดยิง NCA ปี 2015
“ตรงนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด แต่ก็มาชะงักตอนวิกฤตโควิด ต่อมาก็เกิดรัฐประหารในเมียนมา ผมเชื่อมั่นว่าเป็นการปิดประตูแล้ว เราไม่สามารถผ่านกระบวนการทำให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่มา 40 ปีเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ อาจจะทำได้แต่ไม่มั่นใจว่าจะใช้เวลาอีกกี่ปี” นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวอีกว่า 2 การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 ใหญ่ที่สุดคือสหรัฐ แต่ก็มีโควต้า มีผู้เดินทางไปแล้วราวๆ 2 แสนคน และการแก้ปัญหาที่ 3 คือการผสมกลมกลืนในประเทศขอลี้ภัย ทำให้เขาอยู่ได้ ทำงานได้ แต่ไทยไม่มีกฎหมายรองรับผู้ลี้ภัย
“การตัดงบประมาณสนับสนุนผู้ลี้ภัยทรัมป์ไม่ใช่คนแรก จริงๆมีการตัดมาเรื่อยๆ แต่ทรัมป์ตัดแรง ปิดประตูตัดทันที 31 กรกฎาคม 2568 เราจะเห็นหลายๆ คนเก็บประเป๋ากลับบ้านแล้วจะทำอย่างไรกับผู้ลี้ภัยเกือบ 9 หมื่นคนในค่ายทั้ง 9 แห่งนี้ เราก็ต้องเตรียมความพร้อม ข้อเสนอจากกมธ.กฎหมายเสนอไปเกือบปีรัฐบาลยังไม่ตอบรับ เช่น คนกลุ่มนี้กว่า 60 %เป็นคนช่วงวัยทำงาน ดูว่าเขามีทักษะด้านใดบ้างมาทำงานร่วมกับกระทรวงแรงงาน ให้เขาทำงานถูกต้องตามกฎหมายไม่ต้องไปแย่งงานคนไทย ทำงานเสียภาษี ได้รับสวัสดิการ เหมือนแรงงานข้ามชาติอีกหนึ่งคน เปลี่ยนภาระให้เป็นพลังงานให้เขาเดินต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องเปลี่ยนเลนส์ในการมองผู้ลี้ภัยจากความมั่นคงเป็นเลนส์ด้านมนุษยธรรม โดยต้องเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ มองให้ออกว่า เราจะทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ประเทศไทยมีบทบาทการเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหา