
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์เหยื่อค้ามนุษย์ชายแดนไทย – เมียนมา ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา ว่า กลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาในรอบแรก ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็มีบางส่วนที่ตกค้างเป็นเวลา 3-4 เดือนแล้ว เราก็รับปากกับทางกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA ขอไม่ให้ยุตติการช่วยเหลือผู้เสียหาย เพราะยังมีผู้เสียหายตกค้างที่ยังอยู่ในสภาวะวิกฤต ซึ่งเขาก็ขอให้เราช่วยผลักดันในเรื่องการส่งกลับให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากการส่งกลับล่าช้าเป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายของพวกเขา
ผู้ประสานงานฯกล่าวว่า ในหลายประเทศไม่มีตัวแทนสถานทูตอยู่ในไทย และที่แย่กว่านั้นคือในหลายๆ สถานทูตเองก็ไม่มีงบประมาณมากพอ เพราะการส่งกลับผู้คนในล็อตใหญ่ๆ ก็เป็นเรื่องของงบประมาณมหาศาล จนทำให้เกิดความล่าช้า
“ตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะยุติกันไป 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ของผู้เสียหายในหลายๆ พิกัด ยังถูกทารุณกรรมอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเลยในเขต DKBA และมีข่าวว่าจะมีการขายผู้เสียหายบางกลุ่ม แถมมีการรับผู้เสียหายบางกลุ่มเข้ามาเพิ่มจากประเทศกัมพูชา”ผู้ประสานงานฯกล่าว
ผู้ประสานงานรายนี้กล่าวว่า ในพื้นที่ของ DKBA มีทั้งคนท้องที่ถูกทารุณกรรมและคนที่พยายามฆ่าตัวตาย และทำร้ายร่างกายหรือถูกคุมขังอยู่ในห้องมืดได้กินเพียงวันละหนึ่งมื้อ ส่งผลให้เหยื่อมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต ซึ่งเรากำลังผลักดันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อยู่ ในส่วนกองกำลัง BGF แม้จะมีการยุติการช่วยเหลือก็จริง แต่ในกลุ่มที่มีคนตั้งครรภ์ หรือบางกลุ่ม เรายังมีตัวเลขว่าได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีจำนวนน้อย เพราะจากที่เราขอไป 82 คน เป็นชาวฟิลิปปินส์ และอีก 10 คนที่เป็นชาวเอธิโอเปีย ก็ช่วยได้ประมาณ 20 กว่าคน ซึ่งถือว่าก็ยังดี แต่ก็ได้น้อย เพราะที่เหลือยังคงถูกบังคับใช้แรงงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ต่อไป
“ปัญหาหลักๆ เกิดจากการประสานงานในหลายๆ ฝ่ายร่วมกัน ทำให้สถานทูตบางสถานทูตที่เขายังยังไม่พร้อมกับระบบใหม่ที่เปลี่ยนเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่มีการส่งล็อตใหญ่จากกลุ่ม DKBA มาที่ไทยซึ่งเป็นล็อตเดียวที่เราได้รับ หลังจากนั้นทางการเมียนมาก็ไม่ค่อยพอใจกับทาง DKBA และไม่ให้มีการส่งตรงอีก รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ทำให้กระบวนการการส่งต่อระดับชาติเพื่อการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหาย (NRM) “ถ้าพูดถึงจำนวนหนึ่งที่ช่วยเหลือออกมา น่าจะไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นท์ ของจำนวนที่ในวงวิชาการคาดเดาว่าจะมีไม่ต่ำกว่าแสนคนที่ยังอยู่ในเมียนมา และรอคอยความช่วยเหลือ ซึ่งเขาเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ แม้แต่คนที่เขาส่งรายชื่อมาให้เรา ทุกวันนี้ก็ยังติดต่ออย่างยากลำบาก และมีความเสี่ยงสูงอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าส่งข่าวมาอาจจะถูกทารุณกรรม ถูกทำร้าย แต่เขาก็ต้องทำเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ผู้ประสานงานฯกล่าว
เขากล่าวว่า ในพิกัดที่มีคนขอความช่วยเหลือมา ยังมีการสแกมดำเนินการอยู่ตามปกติ และโหดร้ายมากกว่าเดิมด้วย สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการมาตรการ 3 ตัดของไทย ยังไม่เพียงพอ และต้องจับกุมไปถึงขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ด้วย เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่เห็นการดำเนินคดีกับกลุ่มชาวจีนในพิกัดเหล่านี้ถูกจับเลยหรือออกมาชดใช้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ เพราะยังมีเหยื่อที่ขอความช่วยเหลือออกมาเป็นจำนวนมาก
“เชื่อไหมว่าพิกัดที่เราช่วยตั้งแต่แรกๆ จนถึงวันนี้ บอสจีนในบางพิกัดยังอยู่ที่เดิม เรามีข้อมูลแม้กระทั่งพาสปอร์ต หรือแม้กระทั่งวิดีโอคลิปของบอสจีนเหล่านั้น แต่ที่ผ่านมาเราไม่เห็นพวกเขาถูกจับ แม้เราจะช่วยคนออกมาจากพิกัดเหล่านั้นได้เป็นจำนวนมาก
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อร้องเรียนของเหยื่อค้ามนุษย์คอลเซ็นเตอร์ชาวต่างชาติ ผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคมช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมี 179 คน จาก 10 ชาติ และมี 3 พิกัดเร่งด่วน 93 คน ในพื้นที่กองกำลัง DKBA และบางส่วนอยู่ในพื้นที่ของกองกำลัง KNLA และที่ยังอยู่ในพื้นที่ของกองกำลัง BGF ด้วย
นายกัณวีร์ กล่าวว่า จากข้อร้องเรียนของเหยื่อที่มีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาคอลเซ็นเตอร์ยังไม่หมดไป และมาตรการ 3 ตัดของรัฐบาลไทย ก็เป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้า อย่างที่ทราบว่าตั้งแต่เดือน ก.พ. มาตรการต่างๆกระทบกับประชาชนชายแดน แต่ธุรกิจอาชญากรรมข้ามชาติ มีการเตรียมพร้อมทั้งโรงปั่นไฟ การส่งน้ำมัน ทำให้ขบวนการกลับมาใหม่ และทำให้ยากในการปราบปราม
“ถ้าจะปราบต้องใช้องคาพยพมากกว่านี้ ฝั่งช่องแคบ DKBA และ BGF จะใช้รัฐบาลจีนอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้องค์กรระหว่างประเทศ ต้องใช้เวทีโลก ในการปราบปรามพวกนี้ น่าเกลียดที่สุดคือการค้ามนุษย์ ยังมีคนอยู่ตรงนั้น มีคนท้อง มีการร้องขอความช่วยเหลือ มีการฝังศพด้วย เราต้องผลักดันตรงนี้ อย่าลูบหน้าปะจมูก แก้ไขปัญหาแบบชั่วคราว เฉพาะหน้า เห็นแล้วว่าไม่ได้แก้ไข ” นายกัณวีร์ กล่าว