เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันที่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในค่ายผู้ลี้ภัย(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า จะต้องยุติภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สั่งตัดงบประมาณทำให้องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศคือ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในค่ายต้องยุติความช่วยเหลือในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยไม่ต่ำกว่า 100,000 คนกำลังจะขาดแคลนอาหาร และเกิดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ
มีรายงานข่าวจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)แจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ณ อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยมีนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. เป็นประธาน และมีผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (มท.)ผู้แทนองค์กรสาธารณกุศล ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการกำหนดมาตรการรองรับในการแก้ปัญหาในพื้นที่พักพิงชั่วคราว โดยมาตรการเฉพาะหน้า (สิงหาคม-กันยายน 2568) ประเด็นเร่งด่วนคือเรื่องการจัดหางบประมาณช่วยเหลือโดยมอบให้ กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง และ สมช.พิจารณาหน่วยงานรับบริจาค เช่น การดำเนินการผ่านสภากาชาดไทย และการรับบริจาคจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึง NGOs ของไทย ขณะเดียวกันให้ประสานขอใช้งบประมาณของ TBC ที่กันไว้ใช้จ่ายรายเดือน (เดือนละ 4 ล้านบาท )
“หากจำเป็นต้องขอใช้งบประมาณรายจ่ายกลาง ให้ มท. และ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กำหนดรายละเอียดที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่ซ้ำซ้อนกับสิ่งที่ ได้รับการสนับสนุนจากสภากาชาดไทย และการเบิกจ่ายจากงบประมาณของ TBC โดยพิจารณาเหตุผล/ความจำเป็น ในการ ขอใช้งบประมาณรายจ่ายกลาง เช่น ระยะเวลา รูปแบบ” แหล่งข่าวจาก สมช. กล่าว
สำหรับมาตรการระยะกลางคือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – มีนาคม 2569 นั้น ให้มีการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพของผู้ลี้ภัย และสื่อสารกับผู้ลี้ภัยเกี่ยวกับความจำเป็นในการพึ่งพาตนเอง โดยอาจมีการทำงานภายในค่าย ขณะเดียวกันอาจมีการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานนอกพื้นได้ เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ผ่านการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย โดยพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินการ เช่น การออกใบอนุญาตให้กลุ่มผู้ลี้ภัยวัยแรงงานที่ทำงานได้และผู้ติดตาม สามารถอยู่อาศัยในประเทศไทยชั่วคราวและทำงานได้อย่างมีเงื่อนไขและตัดประชากรกลุ่มนี้ออกจากทะเบียนผู้ลี้ภัย
แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนการเดินทางกลับโดยสมัครใจ พร้อมทั้งการรื้อถอนที่พักอาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ที่ไม่มีผู้ลี้ภัยพักอาศัยแล้ว นอกจากนี้จะมีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถทำงานได้
“มาตรการระยะยาว เน้นการแสวงความร่วมมือระหว่างประเทศ การติดตาม กำกับดูแล เพื่อป้องกันอาชญากรรม และการดำเนินการกฎหมายต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด โดยจะนำผลการประชุมครั้งนี้แจ้งนายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีและประธาน สมช.เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป”แหล่งข่าว กล่าว
ด้านนายทูเหร่(นามสมมุติ) อายุ 20 ปี ผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีในค่ายบ้านใหม่ในสอย อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่าตนเองอพยพมาตั้งแต่อายุ 9 ปี ตอนนี้กำลังเรียน กศน. และอนาคตอยากเรียนให้จบมหาวิทยาลัย
“ผมอยากเรียนด้านสื่อสาร อยากเป็นผู้กำกับ อยากถ่ายทอดเรื่องราวของคนคะเรนนีให้โลกได้รับรู้ ผมอยากไปประเทศที่สาม อยากไปสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีบัตร UN มีแค่บัตร TBC เข้าใจว่าก่อน 2015 ได้ปิดการทำบัตรไปแล้ว ทุกวันนี้ผมมีรายได้จากการรับจ้างทำงานต่างๆในองค์กรต่างๆที่อยู่ในค่าย มีรายได้ราว
เดือนละ 2,000 บาท แต่เมื่อ TBCและ IRC หยุดการช่วยเหลือแล้ว ผมไม่แน่ใจจะมีงานอยู่หรือไม่ ผลกระทบต่อตัวผม คือทำให้ตกงาน ก็ต้องออกมาหางานทำข้างนอก” นายทูเหร่ กล่าว
นายทูเหร่กล่าวว่า จริงๆแล้วอยากกลับไปบ้านที่คะเรนนีเพราะยังมีบ้านและญาติพี่น้องอยู่ที่นั่น ตอนนี้เป็นพื้นที่ที่กองกำลัง KNPP (พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี หรือ Karenni National Progressive Party-KNPP)
ยึดได้แล้ว แต่ยังไม่ปลอดภัย เพราะมีเครื่องบินทหารพม่ามาทิ้งระเบิดถล่มแทบทุกวัน ประชาชนส่วนใหญ่ต้องหนีออกจากหมู่บ้าน เป็นผู้พลัดถิ่นนับแสนคน
————-